ป.ป.ช. ชง “เกณฑ์ชี้วัดความเสี่ยงนโยบาย” คุมเข้มพรรคการเมือง ตั้งแต่ขั้นหาเสียง สกัดประชานิยมแฝงผลประโยชน์ ลดภาระการคลัง ยกระดับการเมืองโปร่งใสก่อนเลือกตั้ง 69
วันนี้ (22 ธ.ค.) นายสุรพงษ์ อินทรถาวร รองเลขาธิการฯ รักษาราชการแทน เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. แถลงว่า เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2568 คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบให้เสนอเกณฑ์ชี้วัดความเสี่ยงต่อการทุจริตเชิงนโยบาย ในขั้นตอนการพัฒนานโยบาย (Policy Formation) ของพรรคการเมือง และแนวทางการขับเคลื่อนเพื่อรองรับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ปี พ.ศ. 2569 ต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ตามมาตรา 32 พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561
การทุจริตเชิงนโยบาย เป็นการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ ทั้งทางตรงหรือทางอ้อมในกระบวนการพัฒนานโยบายการบริหารประเทศ และการนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติ โดยนักการเมืองหรือผู้มีอำนาจใช้อำนาจกำหนดการดำเนินนโยบายสาธารณะที่ดูเหมือนประโยชน์จะตกสู่ประชาชนหรือประเทศ แต่กลับแฝงด้วยการอาศัยช่องว่างทางกฎหมาย เพื่อเอื้อประโยชน์ต่อตนเองหรือพวกพ้อง รวมทั้งการสร้างนโยบายในลักษณะประชานิยมที่มีการใช้จ่ายเงินงบประมาณแผ่นดินจำนวนมาก ขาดการศึกษาความเป็นไปได้ของการดำเนินนโยบาย จนทำให้เกิดภาระหนี้สาธารณะ และเกิดผลกระทบต่อวินัยการเงินคลังของประเทศ นอกจากนี้ การทุจริตเชิงนโยบายมักพบในลักษณะของการทุจริตผ่านการจัดทำโครงการจัดซื้อจัดจ้างขนาดใหญ่ของรัฐ โดยผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐใช้อำนาจโดยมิชอบเข้าแทรกแซงกระบวนการ ตั้งแต่ขั้นตอนการจัดสรรงบประมาณไปจนถึงการจัดซื้อจัดจ้างเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มธุรกิจที่เป็นพวกพ้องของตนได้เข้าเป็นคู่สัญญากับภาครัฐ ซึ่งเป็นรูปแบบ การทุจริตที่มีความซับซ้อน มักสร้างระเบียบกฎหมายขึ้นบังหน้าเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบ และใช้ข้ออ้างว่าเป็นนโยบายเพื่อประโยชน์สาธารณะของประชาชน ทำให้การตรวจสอบดำเนินคดีทำได้ยาก และสร้างความความเสียหายกับประเทศอย่างมหาศาล ดังจะเห็นได้จากคดีทุจริตที่ผ่านมา เช่น คดีโครงการรับจำนำข้าว หรือคดีจัดซื้อกล้ายางพารา
สำนักงาน ป.ป.ช. เห็นความสำคัญของปัญหาดังกล่าว จึงได้ดำเนินการศึกษาเพื่อพัฒนากลไกในการป้องกันการทุจริตเชิงนโยบายตั้งแต่ต้นทางในขั้นตอนการพัฒนานโยบายสำหรับใช้ในการหาเสียงเลือกตั้งของพรรคการเมือง โดยเห็นควรเสนอ เกณฑ์ชี้วัดความเสี่ยงต่อการทุจริตเชิงนโยบายของพรรคการเมือง ต่อ กกต. โดยเกณฑ์ดังกล่าวมีองค์ประกอบการประเมิน 4 ด้าน ได้แก่ การประเมินความเสี่ยงต่อการทุจริตเชิงนโยบาย การวิเคราะห์ผลกระทบ ความคุ้มค่า ความเป็นไปได้ และความเสี่ยงของนโยบายด้วยการมีส่วนร่วมอย่างเป็นระบบ แนวนโยบายด้านเจตจำนงทางการเมืองของพรรคการเมืองในการต่อต้านการทุจริต และการเสริมสร้างความโปร่งใสในการพัฒนานโยบายของพรรคการเมือง เพื่อรองรับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในปี พ.ศ. 2569 โดยมีแนวทางในการดำเนินการขับเคลื่อน 1. สำนักงาน กกต.ส่งเกณฑ์ชี้วัดความเสี่ยงฯ ให้พรรคการเมืองที่ประสงค์ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง เพื่อใช้เป็นกรอบในการวิเคราะห์และพัฒนานโยบายสำคัญ โดยเฉพาะนโยบายที่ใช้งบประมาณสูง หรือนโยบายหลักที่พรรคจะนำไปปฏิบัติหากได้เป็นรัฐบาล หรือนโยบายที่ส่งผลกระทบสำคัญต่อเศรษฐกิจ สังคม หรือความมั่นคงของประเทศ
2. พรรคการเมืองจัดทำข้อมูลการพัฒนานโยบายเพื่อการหาเสียงเลือกตั้งผ่านเกณฑ์ชี้วัดความเสี่ยงฯ โดยมีการวิเคราะห์ข้อมูลตามองค์ประกอบแต่ละด้าน จัดส่งให้สำนักงาน กกต. 3. สำนักงาน กกต. รวบรวมข้อมูลที่ได้จากพรรคการเมืองเผยแพร่สู่สาธารณะผ่านช่องทางต่างๆ ต่อสาธารณะ เพื่อให้ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งใช้เป็นข้อมูลประกอบการลงคะแนนเลือกตั้งต่อไป
ขณะเดียวกัน คณะกรรมการ ป.ป.ช. ยังได้เสนอให้สื่อมวลชนและภาคประชาสังคม ร่วมมีบทบาทสำคัญในการประชาสัมพันธ์ เพื่อกระตุ้นให้พรรคการเมืองตระหนักถึงความสำคัญของการพัฒนานโยบายอย่างโปร่งใส และเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายจากการขับเคลื่อนนโยบายของพรรคการเมือง โดยความร่วมมือจาก กกต. และพรรคการเมือง เพื่อป้องกันการทุจริตเชิงนโยบาย
ทั้งนี้ การจัดทำเกณฑ์ชี้วัดความเสี่ยงฯ ไม่ได้มีเจตนาแทรกแซงกิจกรรมทางการเมืองหรือตัดสินว่านโยบายใดถูกหรือผิด แต่เป็นกรอบที่ช่วยให้พรรคการเมืองแสดงความพร้อมและความรับผิดชอบต่อนโยบายที่นำเสนอ ตลอดจนเป็นข้อมูลสำคัญให้ประชาชนสามารถประเมินความน่าเชื่อถือของนโยบายได้อย่างรอบด้าน ลดความเสี่ยงและสกัดกั้นการสร้างนโยบายที่มีลักษณะเป็นการทุจริตเชิงนโยบายตั้งแต่ต้นทาง อันเป็นการยกระดับการเมืองที่สุจริต โปร่งใส ปลอดจากการทุจริต
การดำเนินการในครั้งนี้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญหลายมาตรา โดยเฉพาะมาตรา 221 ที่กำหนดให้องค์กรอิสระร่วมมือและช่วยเหลือกันเพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการปฏิบัติหน้าที่ และมาตรา 258 ที่กำหนดให้ดำเนินการปฏิรูปโดยมีกลไกกำหนดความรับผิดชอบของพรรคการเมืองในการประกาศโฆษณานโยบายที่มิได้วิเคราะห์ผลกระทบ ความคุ้มค่า และความเสี่ยงอย่างรอบด้าน นอกจากนี้ยังสอดรับกับพ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 32 ที่ให้อำนาจคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในการเสนอมาตรการและข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริต รวมถึงพ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 57 ที่กำหนดให้พรรคการเมืองแสดงรายการอย่างน้อยสามประการสำหรับนโยบายที่ต้องใช้จ่ายเงิน
ความร่วมมือระหว่างคณะกรรมการ ป.ป.ช. และคณะกรรมการการเลือกตั้งในครั้งนี้ จึงเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับมาตรฐานการเมืองไทยให้โปร่งใส เป็นธรรม และเสริมสร้างเจตจำนงทางการเมืองที่สุจริต สอดคล้องกับหลักการสากลด้านธรรมาภิบาลและความโปร่งใสที่องค์กรระหว่างประเทศต่างให้ความสำคัญในการป้องกันการทุจริตของผู้นำทางการเมือง ทั้งหมดนี้เพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศชาติและประชาชนไทยทุกคน ในการมีข้อมูลที่เพียงพอและมีคุณภาพประกอบการใช้สิทธิเลือกตั้งบนฐานของข้อมูล และเพื่อให้การเลือกตั้งครั้งหน้าเป็นจุดเริ่มต้นของการเมืองไทยที่สะอาดและโปร่งใสยิ่งขึ้น


