xs
xsm
sm
md
lg

เมื่อพรรคสีน้ำเงินกำลังกินรวบ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: สุรวิชช์ วีรวรรณ 



เห็นภาพของตระกูลนักการเมืองบ้านใหญ่ในหลายจังหวัดไหลเข้าพรรคภูมิใจไทยหรือพรรคสีน้ำเงิน ไม่ว่าจะเป็นตระกูลศิลปอาชาที่ยอมทิ้งมรดกของพ่อ แม้จะฝากพรรคไว้ให้พี่สาวดูแล ตระกูลคุณปลื้ม บ้านใหญ่ชลบุรี ตระกูลอังกินันทน์ บ้านใหญ่เพชรบุรี ตระกูลปิตุเตชะแห่งระยอง ฯลฯ รวมถึงที่เข้าไปแล้วก่อนหน้านี้ไม่ว่าสันติ พร้อมพัฒน์ หรือสุชาติ ชมกลิ่น และนักการเมืองจากพรรคเพื่อไทยจำนวนหนึ่งที่ทิ้งพรรคที่กำลังทรุดโทรมหันมาทางทิศทางของอำนาจใหม่ สะท้อนว่า ขั้วการเมืองหลายพรรคกำลังว่า ตอนนี้พรรคการเมืองไหนคือขุมพลังตัวจริงของการเมืองไทย 

ความจริงแล้วพรรคภูมิใจไทยของเนวิน ชิดชอบ พยายามสร้างพรรคการเมืองของตัวเองให้เป็นพรรคขนาดกลาง เพื่อรอจังหวะร่วมรัฐบาลเท่านั้น แต่เมื่อพรรคประชาชนเปิดทางให้พรรคภูมิใจไทยเข้าสู่อำนาจ ผลักดันอนุทิน ชาญวีรกูล ให้ก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีสำเร็จ ก็ทำให้พรรคภูมิใจไทยกลายเป็นพยัคฆ์ติดปีกทันที และพรรคการเมืองนี้ก็ถูกวาดภาพว่า เชื่อมโยงกับขุมพลังอำนาจที่อยู่เหนือการเมืองไทยอยู่แล้ว 

พรรคสีน้ำเงินจึงไม่ใช่เป็นเพียงพรรคที่กำลังเนื้อหอม แต่กำลังผูกโยงทุกอำนาจในเครือข่ายสังคมไทยทั้งในระบบและนอกระบบเข้าด้วยกัน อย่างไม่เคยมีปรากฏการณ์มาก่อนว่า ฝ่ายหนึ่งจะสามารถควบคุมทั้งอำนาจบริหาร อำนาจนิติบัญญัติ และอำนาจที่ “ซ่อนเร้น” ในสังคมไว้ในพรรคการเมืองเดียว 

การเมืองไทยเวลานี้กำลังเดินเข้าสู่พื้นที่ที่น่ากังวลที่สุดในรอบหลายปี ไม่ใช่เพราะมีเสียงปืน ไม่ใช่เพราะมีรถถัง แต่เพราะเกิด “การรวบอำนาจผ่านกฎหมาย” ที่แนบเนียน ลึก และมีโครงสร้างรองรับอย่างเป็นระบบ อำนาจของพรรคสีน้ำเงินที่กำลังบริหารประเทศอยู่ผนวกเข้ากับอำนาจของ สว.สีน้ำเงินที่ถูกวิจารณ์ว่ามีโครงสร้างโหวตเป็นก้อนเดียว จนทำให้เกิดคำถามว่า ทั้งรัฐบาลและสว.กำลังทำงานภายใต้อาณัติของคนคนเดียว “ครูใหญ่บุรีรัมย์” ผู้ที่ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งรัฐ แต่มีอิทธิพลเหนือทั้งพรรคและกลไกการคัดกรองบุคคลของวุฒิสภาอย่างเข้มข้น 

หลังเข้ามาบริหารประเทศได้ไม่กี่เดือน ภาพแรกที่ชัดเจนไม่อาจปฏิเสธได้คือ “การโยกย้ายข้าราชการครั้งใหญ่” ตั้งแต่ปลัดกระทรวง อธิบดี ผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าหน่วยงานในกระทรวงทรัพยากรฯ ไปจนถึงตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับงบประมาณ พื้นที่ และการอนุมัติโครงการจำนวนมาก ข้าราชการบางคนเพิ่งนั่งเก้าอี้ไม่กี่วันก็ถูกย้ายทันที การจัดทัพแบบสายฟ้าแลบนี้ไม่ได้สะท้อนความต้องการปฏิรูป แต่สะท้อนความต้องการ “จัดพื้นที่ทางการเมือง” เพื่อเตรียมรับศึกเลือกตั้งล่วงหน้า เพราะในโครงสร้างไทย ผู้ว่าฯ คือคนคุมพื้นที่ อธิบดีคือคนคุมเงิน การจัดใหม่ทั้งหมดจึงเป็นการวางฐานคะแนนก่อนถึงวันเลือกตั้งจริง 

แต่โครงสร้างที่ลึกกว่าและน่ากลัวกว่าการจัดราชการ คือบทบาทของ “สว.สีน้ำเงิน” ที่หลายคนในแวดวงการเมืองพูดกันตรงๆ ว่าเป็น “แขนขาของพรรคสีน้ำเงิน” ไม่ใช่สถาบันอิสระ สว.ชุดนี้มีอำนาจมหาศาลในการคัดกรองบุคคลเข้าสู่องค์กรอิสระ เช่น ศาลรัฐธรรมนูญ ป.ป.ช. กกต. คตง. ผู้ตรวจการแผ่นดิน และกสม. หากเสียงส่วนใหญ่ของ สว.ไม่เป็นอิสระ แต่ผูกอยู่กับอำนาจทางการเมืองเดียวกัน ผลที่ตามมาไม่ใช่เรื่องเล็ก แต่คือการที่ “ระบบเบรก–ระบบเร่ง–ระบบลงโทษฝ่ายการเมือง” ถูกย้ายไปอยู่ในมือของพรรคการเมืองที่ถืออำนาจบริหารประเทศโดยตรง 

ในภาษาของผู้ใหญ่การเมือง เขาเรียกกันว่า “คุมกรรมการ คุมกติกา คุมผลลัพธ์” เพราะศาลรัฐธรรมนูญ สามารถล้มรัฐบาล-ยุบพรรคได้ กกต.สามารถชี้ชะตาผู้สมัครทุกคน ป.ป.ช. สามารถชี้มูลคดีนักการเมืองได้ ถ้าองค์กรเหล่านี้ถูกตั้งด้วยเสียง สว.สีน้ำเงิน ผลก็คือ คนของรัฐบาล “ปลอดภัยกว่าที่ควรเป็น” แต่คนของฝ่ายค้าน “เสี่ยงกว่าที่ควรเป็นหลายเท่า” 

กรณีที่เห็นชัดที่สุดคือ “กกต.” แม้การเลือกประธาน กกต.จะเป็นการเลือกกันเองภายในคณะกรรมการ แต่เสียงข้างมากมาจากกระบวนการคัดกรองของ สว.สีน้ำเงิน สู้กับที่มาจาก สว.ชุดก่อนที่มีพฤติกรรมโหวตในทิศเดียวกันอยู่แล้ว ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ กกต.จึงถูกมองว่า “เอนเข้าหาสีน้ำเงินตั้งแต่วันเริ่มต้น” เพราะโครงสร้างคนถูกวางไว้ก่อนที่พรรคสีน้ำเงินจะได้เป็นรัฐบาลด้วยซ้ำเมื่อองค์กรที่มีหน้าที่กำกับการเลือกตั้งกลายเป็นผลผลิตของ สว.สีน้ำเงิน ก็ย่อมเกิดคำถามตามมาว่า การเลือกตั้งครั้งหน้า “จะมีผลลัพธ์ของความเท่าเทียมกันไหม” 

ยิ่งเมื่อมีคดี “ฮั้ว สว.” ที่อยู่ในการตรวจสอบของ กกต.บทบาทของ กกต.ยิ่งถูกจับตา เพราะนี่คือกรณีที่ผู้ถูกกล่าวหา (สว.) และผู้ตรวจสอบ (กกต.) ต่างถูกโยงกลับไปยังอำนาจกลุ่มเดียวกัน กกต.จะกล้าตรวจสอบ สว.สีน้ำเงินจริงหรือ? และหากไม่กล้า กระบวนการพิสูจน์ความจริงก็พังลงก่อนเริ่มต้น 

ด้านดีเอสไอ อีกหน่วยงานที่ควรใช้กฎหมายตรวจสอบความผิดเชิงโครงสร้างก็ตกอยู่ภายใต้อำนาจบริหารของพรรคสีน้ำเงินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะผู้บริหารระดับสูงถูกย้าย-แต่งตั้งใหม่จำนวนมากในช่วงเวลาเดียวกัน เมื่อตัวผู้บริหารขึ้นกับรัฐบาล โอกาสที่ดีเอสไอจะตรวจสอบเครือข่ายอำนาจเดียวกันก็แทบเป็นศูนย์ คดีอาจชะลอ คดีอาจหายไป คดีอาจนิ่ง ไม่มีอะไรเกิดขึ้นโดยที่ประชาชนไม่สามารถพิสูจน์อะไรได้เลย ถ้าหากพรรคสีน้ำเงินยังยึดอำนาจบริหารไว้ได้ในมือ 

เมื่อรวมโครงสร้างทั้งหมดเข้าด้วยกัน(1) สว.สีน้ำเงินคุมการแต่งตั้งองค์กรอิสระ (2) กกต.สีน้ำเงินคุมการเลือกตั้ง (3) ระบบราชการถูกจัดใหม่ทั่วประเทศ (4) ดีเอสไออยู่ภายใต้อำนาจบริหาร (5) นักการเมืองจากหลายพรรคแห่เข้าสู่พรรคสีน้ำเงิน 

สิ่งที่เกิดขึ้นคือ “การผนึกอำนาจรัฐและอำนาจตรวจสอบไว้ในมือกลุ่มเดียวกัน” ผู้ใหญ่ในวงการการเมืองอธิบายสถานการณ์นี้แบบตรงที่สุดว่า “นี่ไม่ใช่การบริหารประเทศ แต่เป็นการประกอบเครื่องมือให้ครบชุดก่อนเลือกตั้งครั้งหน้า” ผลที่ตามมามีอย่างน้อย 5 ชั้นใหญ่ๆ 

หนึ่ง-อำนาจแต่งตั้งองค์กรอิสระกลายเป็นอาวุธทางการเมือง คนฝ่ายรัฐบาลไม่ต้องกลัวคดี คนฝ่ายค้านเสี่ยงขึ้นหลายเท่า 

สอง-เกมเลือกตั้งครั้งหน้าถูกกำกับโดยอ้อม กกต.ดูแลคะแนน ป.ป.ช.ชี้มูล สส. ศาลรัฐธรรมนูญตีความกฎหมายพรรคการเมือง ทั้งหมดถูกเลือกจากโครงสร้างเสียงเดียวกัน 

สาม-ฝ่ายอื่นไม่มีพื้นที่เจรจาอำนาจ เพราะรู้ดีว่า “แพ้คะแนนไม่เท่าไร แต่แพ้กรรมการ = จบเกม” 

สี่-ความชอบธรรมของรัฐจะถูกตั้งคำถามหนักขึ้นเรื่อยๆ ระบบตรวจสอบที่ไม่อิสระทำให้ประชาชนลดศรัทธา และทุกการตัดสินใจถูกมองว่ามีวาระซ่อนเร้น

ห้า-ประเทศเข้าสู่ระบบ one-dominant system คือระบบที่พรรคหนึ่งคุมทั้งรัฐ ทั้งองค์กรอิสระ ทั้งเครื่องมือกฎหมาย และอยู่ยาวได้จากโครงสร้าง ไม่ใช่เสียงประชาชน 

ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ภาพสมมติ แต่คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้าแบบช้าๆ แต่ลึกถึงกระดูกสันหลังของระบบการเมืองไทย หากอำนาจรัฐและอำนาจตรวจสอบยังอยู่ใต้อาณัติเดียวกันเช่นนี้ ประเทศไม่ได้เดินสู่ประชาธิปไตย แต่กำลังเดินสู่ “ประชาธิปไตยแบบควบคุม” ที่ดูเหมือนเป็นระบอบประชาธิปไตย แต่ประชาชนแทบไม่มีอำนาจควบคุมผลการเมืองจริงเลยแม้แต่น้อย 

ที่น่าสนใจก็คือว่า ประชาชนจำนวนไม่น้อยมองว่า พรรคสีน้ำเงินคือความหวังใหม่ที่จะต่อกรเพื่อรักษาอำนาจโครงสร้างและระบอบของรัฐเอาไว้เพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงและท้าทาย แม้ว่าอำนาจทางการเมืองจะถูกบงการโดยรวบอยู่ในมือคนที่ซ่อนตัวอยู่หลังฉากก็ตาม

ติดตามผู้เขียนได้ที่
https://www.facebook.com/surawich.verawan
 


กำลังโหลดความคิดเห็น