xs
xsm
sm
md
lg

“อนุทิน”มามุกใหม่ “ดีเบต”เอ็มโอยู ลากยาว !?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


อนุทิน ชาญวีรกูล - บวรศักดิ์ อุวรรณโณ
เมืองไทย 360 องศา

กรณีบันทึกความเข้าใจระหว่างไทยกับกัมพูชาหรือ เอ็มโอยู 43-44 จนถึงตอนนี้ยังสรุปไม่ได้ว่าในที่สุดแล้วรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล จะดำเนินการอย่างไร จะยกเลิกโดยมติคณะรัฐมนตรี หรือว่าจะใช้วิธีให้ประชาชนลงประชามติพร้อมกันในวันเลือกตั้ง หรือว่า จะรับฟังผลการศึกษาของคณะกรรมาธิการทั้งของวุฒิสภา และสภาผู้แทนราษฎรเสียก่อน ก่อนที่รัฐบาลจะตัดสินใจ

ล่าสุดรัฐบาลมีวิธีการใหม่ นั่นคือ เตรียมจัด “ดีเบต” ระหว่างฝั่งที่เห็นด้วยกับการยกเลิกเอ็มโอยู กับฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย โดยเริ่มต้นบอกว่าจะให้เปิดเวทีในบริเวณจังหวัดชายแดน ที่ได้รับผลกระทบก่อน กลายเป็นว่าจนถึงตอนนี้รัฐบาลยังไม่มีท่าทีชัดเจนว่าจะเอาอย่างไรกันแน่

การริเริ่มความคิดเรื่องจัดเวที “ดีเบต” เพิ่งได้ยินล่าสุด เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน หลังจากที่ นายภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยที่ทำเนียบรัฐบาล บอกว่าได้รับการผลักดันมาจากนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี มอบหมายให้ตนไปพูดคุยกับคณะกรรมาธิการ เดินหน้าศึกษายกเลิก MOU 2543-2544 ทั้ง 2 สภา เพื่อให้ไปเดินหน้าเปิดเวที ให้ความรู้แก่ประชาชน และรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน

โดยจะเชิญทั้งฝ่ายที่เห็นด้วย กับการยกเลิกและไม่เห็นด้วยกับการยกเลิกไปดีเบตกัน ในเวทีต่างๆ โดยเฉพาะเวทีในพื้นที่ ที่ได้รับผลกระทบชายแดน ทั้ง 7 จังหวัด รวมถึงเปิดเวทีดีเบต ในภาคอื่นๆด้วย ซึ่งตนได้พูดคุย กับนายนพดล อินนา ประธานคณะกรรมาธิการวุฒิ พิจารณายกเลิก สภาเดินหน้าศึกษายกเลิก MOU 2543-2544 เพื่อแก้ไขปัญหาชายแดนไทยกัมพูชา ซึ่งก็ไม่ขัดข้องที่จะทำเวทีดีเบต และในส่วนของค่าใช้จ่าย รัฐบาลจะเป็นผู้ดำเนินการสนับสนุน

เมื่อถามถึงกรณีที่มีการถูกตั้งคำถามว่าทำไมรัฐบาลไม่ใช้มติในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี หรือ ครม.เพื่อยกเลิก นายภราดร กล่าวว่า เป็นเรื่องที่หนีไม่พ้น ที่จะให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการ ซึ่งการจะมีส่วนร่วมได้นั้นประชาชน ต้องทราบข้อมูล เพื่อการตัดสินใจ แบบไหน

ถามว่า ที่ผ่านมา นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เคยระบุว่าไม่เห็นด้วยกับ MOU 43 และ 44 ทำไมไม่ใช้มติ ครม.ในการยกเลิกเลย นายภราดร ย้ำว่า เป็นเรื่องใหญ่ ที่ต้องรับฟังความคิดเห็นอย่างรอบด้าน โดยส่วนตัวของพรรคภูมิใจไทย แสดงจุดยืนของพรรคภูมิใจไทยมานานแล้วว่า เห็นไปในทิศทางไหน แต่เมื่อมาเป็นรัฐบาล ซึ่งรัฐบาลใหญ่กว่าพรรค ก็จำเป็นที่จะต้องรับฟัง ความเห็นของคนอื่นด้วย

เมื่อถามว่าจะทันต่อการพิจารณาของศาลโลก ที่ทางกัมพูชายื่นไว้หรือไม่ นายภราดร กล่าวว่า ในส่วนของศาลโลกเราไม่ได้อยู่ในกระบวนการ ดังนั้นจะขึ้นศาลโลกฝ่ายเดียวไม่ได้

แน่นอนว่า นี่คือท่าทีใหม่ของรัฐบาล ที่นำโดย นายอนุทิน ชาญวีรกูล หลังจากที่มีท่าทีโลเลเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาจนถึงตอนนี้ ยังหาข้อสรุปไม่ได้ว่าจะเอาอย่างไร จากเดิมเมื่อตอนที่เป็นฝ่ายค้าน พรรคภูมิใจไทยของเขา มีความเห็นชัดเจนว่าต้องการยกเลิกเอ็มโอยู 43 แต่เมื่อได้เป็นรัฐบาล และได้เป็นนายกรัฐมนตรี กลับมีท่าทีเปลี่ยนแปลงไปโดยเสนอให้มีการลงประชามติพร้อมกันในวันเลือกตั้ง อ้างว่าเป็นเรื่องใหญ่ต้องการให้ประชาชนมีส่วนร่วม

อย่างไรก็ดี การเปลี่ยนแปลงมาให้มีการลงประชามติถามความเห็นของประชาชนนั้น กลับถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าแท้จริงแล้วมีเจตนาเพื่อ “ซื้อเวลา” โดยที่ตัวเองไม่กล้าตัดสินใจ อีกทั้งการทำประชามติในเรื่องที่มีความละเอียดอ่อน มีความซับซ้อนมีข้อกฎหมายอ้างอิงมากมาย ต้องมีผู้เชี่ยวชาญในการออกความเห็น จนให้เห็นว่าการลงประชามติถามความเห็นในลักษณะแบบนี้อาจไม่ได้ประโยชน์

ขณะเดียวกัน หากมีการเรียงลำดับเพื่อชี้ให้เห็นถึงท่าทีที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล ในเรื่องดังกล่าว นั่นคือ หลังจากถูกวิจารณ์ในเรื่องการ “ผลักภาระ” ไปให้ประชาชนในกรณีการลงประชามติเรื่องเอ็มโอยู เขาก็มีการปรับท่าทีใหม่โดยการเสนอให้รับฟังข้อสรุปผลการศึกษาของคณะกรรมาธิการของทั้งวุฒิสภา และสภาผู้แทนราษฎรอ้างว่ามีการพิจารณาศึกษาเรื่องนี้อย่างรอบด้านอยู่แล้ว ดังนั้นรัฐบาลก็ต้องรอฟังผลการศึกษาของกรรมาธิการทั้งสองสภาเสียก่อน

แต่ล่าสุดเมื่อการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการทั้งสองสภายังไม่เสร็จสิ้น และยังไม่มีทีท่าว่าจะมีผลสรุปออกมาอย่างใดอย่างหนึ่งในเร็วๆนี้ รัฐบาลก็มีการเคลื่อนไหวใหม่นั่นคือ ให้มีการตั้งเวทีดีเบตทั้งฝ่ายที่สนับสนุนให้ยกเลิกกับฝ่ายที่ให้คงเอาไว้ หรืออาจมีฝ่ายที่แบบให้คงอยู่แต่มีการปรับปรุงแก้ไข

แต่ไม่ว่าจะออกมาในแนวไหน หากพิจารณาจากความเคลื่อนไหวของรัฐบาลแล้ว ถือว่า นี่คือความพยายาม “ซื้อเวลา” ไม่กล้าตัดสินใจในสิ่งที่เป็นเรื่องสำคัญ กระทบกับผลประโยชน์ของชาติ และความเดือดร้อนของประชาชน เพราะหากพิจารณานับจากไทยกับกัมพูชลงนามเอ็มโอยู 2543 และ เอ็มโอยู 2544 ซึ่งอย่างหลังเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์และเขตแดนทางทะเล เรื่อยมากว่า 20 ปี ไทยจะถูกกัมพูชาละเมิดรุกล้ำอธิปไตยเรื่อยมา แต่สิ่งที่ไทยดำเนินการก็คือ “ประท้วง ประท้วง และประท้วง” จนมีการบันทึกไว้เป็นสถิติว่ามีมากกว่า 600 ครั้ง และต้องเพิ่มครั้งล่าสุดหลังจากที่ทหารไทยเหยียบกับระเบิด “ขาขาดเป็นรายที่ 7” เข้าไปด้วย

ดังนั้นไม่ว่าจะมองมุมไหนสำหรับความเคลื่อนไหวล่าสุดของรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล ที่เสนอให้มีการจัดเวทีดีเบตถกเถียงนำเสนอข้อดีข้อเสียของการคงอยู่หรือยกเลิก หรือให้คงอยู่และแก้ไขปรับปรุงใหม่ ในครั้งนี้เป็นเพียงการ “ซื้อเวลา” ยากยาวไปจนยุบสภา และในที่สุดก็ไม่มีการตัดสินใจใดๆออกมา และนี่คืออีกตัวอย่างล่าสุดของนายกรัฐมนตรีคนนี้ ที่เอาเข้าจริงในเรื่องที่สำคัญที่ต้องตัดสินใจเขากลับลังเล และใช้วิธีซื้อเวลาลากยาวออกไปเรื่อยๆ !!


กำลังโหลดความคิดเห็น