เมืองไทย 360 องศา
หลังจากที่รัฐบาลภายใต้การนำของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล ได้ประกาศระงับปฏิญญาสันติภาพระหว่างไทยกับกัมพูชา รวมไปถึงสั่งระงับความร่วมมือระหว่างกันไปแล้วแบบไม่มีกำหนด หลังจากที่ทหารไทยเหยียบกับระเบิดจน “ขาขาด” ได้รับบาดเจ็บสาหัสเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา เนื่องจากเห็นว่ากัมพูชาทำผิดข้อตกลง
ก่อนหน้านี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ย้ำถึงความรู้สึกในหัวใจ ณ เวลานี้ที่มายืนบนฐานปฏิบัติการอินทุมาน (ภูมะเขือ) ว่า ประเทศไทยเป็นของเรา ที่ที่เรายืนอยู่คือประเทศไทยใครจะมาแอบอ้างอธิปไตยเหนือดินแดนของไทยไม่ได้ แต่ว่าวันนี้การที่จะพูดเรื่องนี้ วันนี้เราถือว่าสิ่งที่เราได้มีข้อตกลงกันไว้ เพื่อจะเดินไปสู่การมีสันติภาพ มันจบลงแล้ว จากนี้ไปรัฐบาลไทยก็จะดำเนินการในสิ่งที่เราเห็นว่าเป็นประโยชน์สำหรับประเทศไทย เป็นสิ่งที่ประเทศไทยจะทำโดยที่ไม่ต้องไปหารือ ไปปรึกษาหรือขออนุญาตใคร
เราได้มีการหารือพูดคุยกับทางกองทัพเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาได้ข้อสรุปมาค่อนข้างชัดเจนในการปฏิบัติ ซึ่งทางกระทรวงกลาโหมรับทราบอยู่แล้วว่าจะต้องปฏิบัติอย่างไรบ้าง
ล่าสุดเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน ที่วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) นายอนุทิน กล่าวถึงกรณีฉีกข้อตกลงผลการหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรไทยและนายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรกัมพูชา (ปฏิญญาร่วมเพื่อสันติภาพและความมั่นคง) จะต้องชี้แจงกับนายอันวาร์ อิบราฮิม นายก ฯ มาเลเซีย หรือไม่ ว่า มันไม่มี 4 ข้อ นั้นแล้ว จะมีข้อที่ประเทศไทยจะต้องดำเนินการ Do it My Way (ดู อิท มาย เวย์) ไม่รู้จะพูดอย่างไร
ถามว่าบนเวทีที่นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าเมินมาตรการภาษีทรัมป์ นายอนุทิน กล่าวว่า เราต้องมีความพร้อมอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว เราเป็นประเทศที่พึ่งพารายได้จากการส่งออกเป็นหลัก ฉะนั้น ก็มีหน้าที่ที่จะแสวงหาโอกาส หาตลาดใหม่ใหม่อยู่ตลอดเวลา ก็มีหน้าที่ในการพัฒนาคุณภาพสินค้าของประเทศไทย ให้เป็นที่ต้องการของทั่วโลกให้ได้มากที่สุด เท่าที่จะสามารถทำได้ ซึ่งศักยภาพของประเทศไทยมีแล้ว เราจะไม่ให้สิ่งเหล่านี้ มาเป็นตัวฉุด หรือทำให้เราเสียเปรียบ หรือทำให้อธิปไตยของเราถูกก้าวล่วง
เมื่อถามว่าจะมีการชี้แจงกับสหรัฐอเมริกาหรือไม่ในฐานะผู้สังเกตการณ์ ลงนามปฏิญญาร่วมเพื่อสันติภาพและความมั่นคง นายอนุทิน กล่าวว่ากระทรวงการต่างประเทศกำลังดำเนินการเรื่องนี้อยู่
เมื่อถามต่อว่าขณะที่ประชาชนส่วนหนึ่งต้องการให้มีการสู้รบให้จบโดยเด็ดขาด และอีกส่วนกังวลจะมีการสู่รบ นายอนุทิน กล่าวว่า เรามีแผนปกฏิบัติอยู่แล้ว ซึ่งเรื่องความมั่นคง การป้องกันประเทศ ไม่สามารถมาพูดในลักษณะการให้สัมภาษณ์ ได้ แต่ในความเป็นรัฐมนตรีและหัวหน้ารัฐบาล เราได้มีการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ กำหนดมาตรการและผู้ปฏิบัติให้เกิดประโยชน์สูงสุด ต่ออธิปไตยของประเทศ และความปลอดภัยของประชาชนต่อเกียรติภูมิศักดิ์ศรี ของทหาร และเจ้าหน้าที่ที่คอยปกป้องดูแลแผ่นดินของเราอยู่ พร้อมย้ำว่าทุกอย่างมีอยู่ในแผนการดำเนินการทั้งหมดแล้ว แต่ไม่สามารถเปิดเผยได้
เมื่อถามย้ำว่า ขณะนี้มีการเตรียมกำลังทางทหารพร้อมแล้วใช่หรือไม่ นายอนุทิน พยักหน้า รับ ก่อนกล่าวว่า “แน่นอนครับ”
อย่างไรก็ดี สำหรับประชาชนคนไทยทั่วไป อารมณ์เวลานี้ ถือว่าไปไกลกว่านั้นมากแล้ว ถึงขั้นต้องการให้ใช้กำลังทหารสั่งสอนกัมพูชาให้จบๆกันไป ส่วนเรื่องการกลับมาญาติดีกันอีกครั้งนั้นต้องบอกว่า ถือว่า “จบสิ้นไปแล้ว” ไม่ต้องคิดถึงเรื่องแบบนี้กันแล้ว
ขณะเดียวกัน จะว่าไปแล้วสำหรับความเคลื่อนไหวของรัฐบาล นายอนุทิน ที่สั่ง “ระงับ” ปฏิญญาสันติภาพกับกัมพูชานั้น หากพิจารณาจากปฏิกิริยาของประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่พอใจนัก เพราะการระงับนั้นความหมายมันคือ “ชั่วคราว” เท่านั้น “ไม่ใช่ยกเลิก” ทั้งนี้เชื่อว่านาทีนี้คนไทยต้องการให้ยกเลิก ไม่ต้องกลับไปญาติดีกันอีกเลย เพราะอย่างที่รับรู้กันมามานานว่าคนพวกนี้ “คบไม่ได้” และไม่มีประโยชน์อะไรที่จะคบ หากเปรียบเทียบกับ “เพื่อนบ้าน” ที่พาล เอาเปรียบ มีแต่เล่ห์เหลี่ยม มันก็ไม่มีประโยชน์ที่จะคบหาสมาคมด้วย
อีกทั้ง ในช่วงเวลานี้ ยังมีข้อเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกเอ็มโอยู 43 -44 ที่ทำเอาไว้กับฝ่ายกัมพูชาเมื่อกว่ายี่สิบปีก่อน ไปในคราวเดียวกันด้วย เพราะถือว่า “ไม่มีประโยชน์” เพราะที่ผ่านมามีการบันทึกเอาไว้ว่า ฝ่ายไทยได้มีการประท้วงกัมพูชามากกว่า 600 ครั้ง หลังจากถูกละเมิด ไม่ว่าจะเป็นการรุกล้ำดินแดน หรือ การลอบวางทุ่นระเบิด ทำให้เกิดการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สิน เหมือนกับครั้งล่าสุดที่ทหารไทยเหยียบกับระเบิดทำให้ “ขาขาด” เป็นรายที่ 7 และไทยก็ทำการประท้วงไปอีกครั้ง แม้ว่าครั้งนี้รัฐบาลจะดูขึงขัง และ นายกรัฐมนตรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล จะมีท่าทีแข็งกร้าวเด็ดขาด รวมไปถึงสนับสนุนเดินตามหลังกองทัพในการจัดการกับปัญหาตามแนวชายแดนก็ตาม
ที่ผ่านมา เหมือนกับว่ารัฐบาลพยายามซื้อเวลาในการยกเลิกเอ็มโอยูดังกล่าว โดยโยนให้ประชาชนลงประชามติพร้อมกับวันเลือกตั้ง อ้างว่าเพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ แต่สำหรับเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องซับซ้อนมีรายละเอียดมากมาย ทำให้การตัดสินใจของประชาชนอาจไม่มีความรอบด้านและลึกซึ้งเพียงพอ เมื่อสังคมมีการวิพากษ์วิจารณ์มากขึ้นรัฐบาลก็หันกลับมาให้คณะกรรมาธิการทั้งในสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา พิจารณาศึกษาถึงข้อดีข้อเสียว่าสมควรคงอยู่ ยกเลิก หรือให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมหรือไม่
ดังนั้นในช่วงเวลาและสถานการณ์แบบนี้ โดยเฉพาะเมื่อเรายกเลิกปฏิญญาสันติภาพกับกัมพูชาแล้ว ก็น่าจะฉวยโอกาสยกเลิกเอ็มโอยู 43 ที่เราทำเอาไว้นานกว่า 20 ปี ที่ทำให้เราเสียเปรียบ และที่สำคัญในข้อเท็จจริงก็คือถูกกัมพูชาละเมิดอธิปไตยมาตลอด และสิ่งที่เราทำได้คือการประท้วง และครั้งนี้ก็มีการประท้วงจนเกือบ “ครั้งที่หนึ่งพัน” แล้ว และในอนาคตก็จะมีการประท้วงแบบไม่สิ้นสุดต่อไป !!


