เมืองไทย 360 องศา
บางทีหากพิจารณากันให้ละเอียดจะได้ความจริงไปอีกแบบว่า ในที่สุดแล้วรัฐบาล และนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย มีพฤติกรรมย้อนแย้งอย่างเห็นได้ชัด จากกรณี “เอ็มโอยู 43” ที่ในที่สุดพวกเขาก็ “กอด” เอาไว้แน่น เพราะมีการเปิดทางให้มีการเจรจาผ่านคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (จีบีซี) และคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (เจบีซี) ขณะเดียวกันกลับมีการเปิดทางให้มีการทำประชามติว่า จะยกเลิกเอ็มโอยู หรือไม่ จนทำให้เกิดคำถามตามมาว่า หากผลการทำประชามติออกมาว่าสมควรยกเลิก แล้วจะทำอย่างไร
สำหรับเรื่องนี้มีคนที่ตั้งข้อสังเกตและตั้งคำถามเอาไว้น่าสนใจก็คือ นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีต ส.ส.พัทลุง โพสต์ข้อความว่า ข้อตกลงที่ย้อนแย้ง และหลอกลวงประชาชน
การแก้ไขปัญหาข้อพิพาทชายแดน ระหว่างไทย-กัมพูชา ที่ลงนามกันเมื่อวันที่ 26 ตค.2568 ที่ประเทศมาเลเซีย ข้อที่ 4 ระบุให้มีเจรจาแก้ปัญหา ผ่านคณะกรรมการ GBC และ JBC
เมื่อ GBC และ JBC เป็นข้อตกลงที่มาจาก MOU 43 และรัฐบาลกำลังจะให้ประชาชนลงประชามติว่า จะให้ยกเลิก MOU 43 หรือไม่ หากประชาชนมีมติว่าให้ยกเลิก MOU 43 ก็จะทำให้ GBC กับ JBC ถูกยกเลิกไปด้วย แล้วจะมีกรอบในการเจรจากันอย่างไร
ข้อตกลงระหว่างไทย กับมาเลเซีย ที่มีประธานาธิบดีทรัมป์ เป็นพยาน ก็จะตกเป็นความสูญเปล่าทันที ประธานาธิบดีทรัมป์ ได้เขกกบาล ใครบางคนแน่
การให้มีประชามติ จึงเป็นการหลอกลวงประชาชนแบบกลางวันแสกๆ ผู้ริเริ่มในการหลอกลวง คือ ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายกฎหมาย ทำไมพอเป็นรัฐบาลก็เริ่มโกหกประชาชน นี่คือความ “น่ากลัว” ของพรรคภูมิใจไทย ใครตั้งรัฐบาลนี้ขึ้นมา ช่วยตอบคำถามนี้ด้วย
ขณะเดียวกัน ก่อนหน้านี้ ทางวุฒิสภาก็มีมติให้ขยายเวลาการศึกษาอีก 90 วัน ถึงข้อดี ข้อเสีย และการคงอยู่หรือสมควรยกเลิก เอ็มโอยู 43-44 หรือไม่
โดยนายนพดล อินนา สว. ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ(กมธ.)วิสามัญพิจารณาศึกษาข้อดีข้อเสียการยกเลิกเอ็มโอยู 2543 และ เอ็มโอยู 2544 เพื่อแก้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา แถลงว่า ผลการประชุม กมธ.ฯ ยังไม่ได้ข้อสรุปว่าควร ที่จะมีการยกเลิกเอ็มโอยู 43 -44 หรือไม่ เนื่องจากข้อมูลยังไม่ครบถ้วน การตัดสินใจทำในทางใดนั้น ย่อมส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ดังนั้น เรื่องเอ็มโอยู 43 และ 44 ต้องดูให้รอบคอบ รอบด้านโดยไม่มีอคติ หรือใช้อารมณ์ การนำข้อมูลที่เป็นวิทยาศาสตร์มาเป็นพื้นฐานในการตัดสินใจเรื่องนี้ และการที่จะคงอยู่ ปรับปรุง หรือยกเลิก ต้องมีเหตุผลและแนวทางให้กับรัฐบาลในการที่จะดำเนินการต่อไป ถ้าหากยกเลิกต้องนึกถึงกฎหมายระหว่างประเทศ ว่าขัดต่อข้อใด และเหตุใดจะต้องดำเนินการ
ส่วนผลการศึกษาของ กมธ.ฯ จะทันต่อการทำประชามติของรัฐบาลหรือไม่ นายนพดล กล่าวว่า เรื่องการขยายกรอบเวลาในการศึกษาของกมธ.ฯ จากเดิม 90 วัน ก็ขยายต่ออีก 90 วัน แต่หากดำเนินการเสร็จก่อนก็จะดำเนินการรายงานต่อวุฒิสภาทันที และระหว่างการศึกษาจากวันนี้เป็นต้นไป กมธ.ชุดนี้ก็จะพยายามให้ข้อมูลประชาชนให้ได้มากที่สุด ถึงข้อดีข้อเสียของเอ็มโอยูทั้ง 2 ฉบับ และมั่นใจว่า ข้อมูลที่ได้จากกมธ.ชุดนี้ เป็นประโยชน์และส่งผลต่อการตัดสินใจว่าจะคงอยู่หรือยกเลิกเอ็มโอทั้ง 2 ฉบับ
ถามว่า การลงนามปฏิญญาระหว่างไทยกับกัมพูชา ที่มาเลเซีย เมื่อวันที่ 26 ต.ค.ที่ผ่าน จะมามีผลหรือไม่ นายนพดล กล่าวว่า เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี และเชื่อว่ากัมพูชาจะละเมิดข้อตกลงได้ยากขึ้น เพราะเป็นปฏิญญาที่ปรากฏต่อมหาอำนาจของโลกคือสหรัฐอเมริกา และประเทศอาเซียนทั้งหมด 11 ประเทศ ที่เป็นสักขีพยาน และในเวทีการประชุมสหภาพรัฐสภา หรือ IPU ก็ถือว่าประเทศไทยเป็นพระเอกในเวทีโลก ที่เสนอญัตติด่วนเรื่องสแกมเมอร์ ซึ่งทำให้กัมพูชา ไม่สามารถใช้วิธีนั้นกล่าวหาประเทศไทยได้อย่างที่ตั้งใจไว้
กรณีการศึกษาถึงข้อดี ข้อเสีย ของคณะกรรมาธิการฯดังกล่าวของวุฒิสภา ซึ่งหากผลการศึกษาออกมาว่าสมควรยกเลิก โดยมีข้อสรุปออกมาก่อน 90 วัน จะต้องทำอย่างไร จะเดินหน้าทำประชามติต่อไปอีก หรือไม่ หรือก่อนหน้านี้ก็ยังมีคณะกรรมาธิการในลักษณะเดียวกันของสภาผู้แทนราษฎร ที่มีการพิจารณาศึกษาในเรื่องเดียวกัน แม้ว่าหากพิจารณาตามรูปการณ์แล้ว กรณีการตั้งคณะกรรมาธิการฯ ของสภาผู้แทนนั้นไม่ต่างจากการซื้อเวลาเท่านั้นเอง
แน่นอนว่า หลังการลงนามในปฏิญญาที่จะนำไปสู่การลงนามสัญญาสันติภาพในอนาคต ระหว่างไทยและกัมพูชา หลังจากที่ฝ่ายไทยอ้างว่าฝ่ายกัมพูชาได้ยอมรับเงื่อนไข 4 ข้อ ที่ได้เสนอไปก่อนหน้านี้ คือ การถอนอาวุธหนัก การเก็บกู้ทุ่นระเบิด และการกวาดล้างอาชญากรรมข้ามชาติ โดยมีแผนงานและแผนการดำเนินการอย่างเป็นขั้นตอน รวมถึงการนำชาวกัมพูชา ออกจากดินแดนที่เป็นพื้นที่ประเทศไทย
อย่างไรก็ดี ที่ผ่านมาสิ่งที่มีการพิสูจน์ให้เห็นชัดเจนก็คือ ทางฝ่ายกัมพูชาไว้ใจไม่ได้ และไม่เคยทำตามคำพูดที่ได้ตกลงกันไว้ทุกครั้ง ทำให้มีเสียงวิจารณ์จากคนไทยจำนวนมากว่า สมควรยกเลิกเอ็มโอยุ 43-44 เนื่องจากในช่วงระยเวลากว่ายี่สิบปีที่ผ่านมา ทางฝ่ายกัมพูชาได้ละเมิดมาตลอด และสิ่งที่ไทยทำได้ก็คือ การประท้วงที่ไม่ได้ผลในทางปฏิบัติ
แต่สิ่งที่น่าพิจารณาไปมากกว่านั้นก็คือ ท่าที “พูดอย่าง ทำอย่าง” ของฝ่ายรัฐบาล โดยเฉพาะนายอนุทิน ชาญวีรกูล ที่เปลี่ยนแปลงไปหลังจากเป็นรัฐบาล เพราะก่อนหน้านี้เขามีท่าทีชัดเจนว่า ควรยกเลิกเอ็มโอยู 43 เนื่องจากทำให้ไทยเสียเปรียบ แต่เมื่อมาเป็นรัฐบาล กลับเสนอให้ทำประชามติ ซึ่งถูกมองว่าเป็นการ “ซื้อเวลา” และผลักภาระให้ประชาชน อีกทั้งเรื่องเอ็มโอยู ถือว่าเป็นเรื่องที่มีรายละเอียด เป็นเรื่องที่เข้าใจยาก
ขณะเดียวกันอย่างที่มีการตั้งข้อสังเกตกันไว้ก่อนหน้านี้ก็คือ หากผลการลงประชามติที่จะจัดขึ้นพร้อมกับการเลือกตั้งในปีหน้า หากผลออกมาว่า ประชาชนให้ยกเลิกเอ็มโอยูแล้วจะทำอย่างไร เพราะนายอนุทิน ชาญวีรกูล ไปลงนามตามกรอบการเจรจาคณะกรรมการ เจบีซี และ จีบีซี ไทย-กัมพูชา ที่ประเทศมาเลเซียก่อนหน้านี้ จะต้องเป็นโมฆะหรือต้องยกเลิกไปหรือไม่ ดังนั้น นี่จึงเป็นคำถามว่าเป็นการ “ย้อนแย้ง” และ “หลอกลวง” ประชาชน หรือเปล่า !!


