เมืองไทย 360 องศา
รับรู้กันจนท่องจำขึ้นใจแล้วว่า ทหารที่เพิ่งเหยียบกับระเบิดของกัมพูชาบริเวณหุบเขา “ตามาเรีย” ในพื้นที่อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ ที่อยู่ระหว่างภูมะเขือกับ ปราสาทพระวิหาร เมื่อสายวันที่ 10 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา โดยมีทหารไทยได้รับบาดเจ็บสองนาย โดยหนึ่งในนั้นมีอาการสาหัสจากการถูกกับระเบิดจนข้อเท้าขาด และนับเป็นรายที่ 7 แล้ว ที่ได้รับบาดเจ็บในลักษณะนี้ จากกับระเบิดของกัมพูชา
ที่ผ่านมา ทางฝ่ายไทยได้ดำเนินการมาตลอดก็คือ มีการยื่นหนังสือประท้วง จนมีการทำสถิติขึ้นมาเมื่อหลายปีก่อน ราวๆ ยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมารวมแล้ว มีการ “ประท้วงกัมพูชาไปแล้วนับพันครั้ง” ซึ่งนับหลังจากที่ประเทศไทยลงนาม “เอ็มโอยู” ที่เรียกว่า “เอ็มโอยู 43-44” และล่าสุดกำลังจะมีการลงนามในข้อตกลงสันติภาพ เพียงแต่ว่าตอนนี้ยังเป็น “ปฏิญญาสันติภาพ” นำร่องไปก่อน จนกระทั่งทหารไทยได้เหยียบกับระเบิดขึ้นมาอีกครั้ง จน “ขาขาดเป็นรายที่ 7” และทางการไทยก็ได้ “ทำการประท้วง” ไปเรียบร้อยแล้ว
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน มีการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) มีนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกฯและรมว.มหาดไทย เป็นประธานการประชุม โดยมีพล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมว.กลาโหม นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รมว.การต่างประเทศ รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม
จากนั้น พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เปิดเผยผลการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติว่า ที่ประชุมด้านการพิจารณา 3 เรื่องหลัก หลังจากกำลังพลของกองทัพไทยได้รับบาดเจ็บจากทุ่นระเบิด ซึ่งเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ โดยได้แสดงความเสียใจต่อการสูญเสียครั้งนี้ ส่วนเรื่องที่ 2 คือ การที่มีทุ่นระเบิดในพื้นที่อธิปไตยของไทย ถือว่ามีผลกระทบต่ออธิปไตย ส่วนเรื่องที่ 3 คือ รัฐบาลจะปกป้องอธิปไตย ชีวิตของคนไทย และทหารไทยอย่างเต็มขีดความสามารถ โดยที่ประชุม มีมติระงับการปฏิบัติตามปฏิญญาไว้ก่อนทั้งหมดทุกข้อ และยุติการส่งเชลยศึกให้กับกัมพูชา
ถามว่า ขณะนี้ยังสามารถคาดหวังความจริงใจจากกัมพูชาได้หรือไม่ พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า ทางกองทัพไม่ได้คาดหวังความจริงใจจากกัมพูชาอยู่แล้ว แต่ในส่วนที่กระทำเราฝ่ายเดียว เราจะดำเนินการในเขตอธิปไตยของไทย
ส่วนจะมีการยกระดับมาตรการใด ๆ หรือไม่ พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า ตอนนี้ก็ยกระดับแล้ว ในเมื่อเรายุติการปฏิบัติตามปฏิญญาแล้ว เป็นการปฏิบัติการทางทหารในเขตอธิปไตยของไทย ซึ่งไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ว่า จะมีปฏิบัติการอย่างไรบ้าง
สำหรับการเก็บกู้ระเบิด จะมีแผนการอย่างไร เพื่อไม่ให้กำลังพลได้รับผลกระทบ พลเอกณัฐพล กล่าวว่า การเก็บกู้ทุ่นระเบิดมี 2 ระดับ คือ ระดับหน่วยปฏิบัติการในพื้นที่ มีขีดความสามารถในการเก็บกู้ได้เอง ที่ผ่านมาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ตรงนั้น เป็นพื้นที่ที่ปฏิบัติการอยู่เป็นประจำ แต่หน่วยทหารที่ปฏิบัติการในพื้นที่สามารถเก็บกู้ทุ่นระเบิดได้ แต่การเก็บกู้ที่เป็นทางการ ได้มาตรฐานอย่างเต็มรูปแบบ คือ การเก็บกู้โดยหน่วยเก็บกู้ทุ่นระเบิดแห่งชาติ ซึ่งกองทัพไทยเป็นผู้รับผิดชอบ โดยมี 5 พื้นที่ที่หน่วยปฏิบัติการเก็บกู้ทุ่นระเบิดจะเข้าไปเก็บกู้ ปัจจุบันเข้าปฏิบัติงานแล้ว 4 พื้นที่ เหลือ 1 พื้นที่ที่กัมพูชายังไม่ตอบรับ หลังจากนี้พื้นที่ที่ 5 จะเข้าเก็บกู้เลย
ส่วนจะมีการแก้ไขปัญหาในพื้นที่อย่างไร เช่น กรณีล่าสุดที่มีการแอบมารื้อรั้วลวดหนาม แล้วเข้ามาวางทุ่นระเบิดฝั่งไทย พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า ไม่ขอบอกรายละเอียด แต่มีกฎใช้กำลังอยู่ ว่า เข้ามาทำอะไร ซึ่งจะมีขั้นตอนการเตือน การยิง จากอาวุธเบาไปหาหนัก ขอให้มั่นใจ ว่า หลังจากนี้การปฏิบัติการทางทหาร ได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุม สมช. ให้ปฏิบัติการได้ตามสถานการณ์
ถามว่าส่วนจะมีการเจรจากับกัมพูชาอีกหรือไม่ พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า ไม่มี หลังจากนี้ไม่มีจากตน จากกระทรวงกลาโหม ไม่มี GBC แต่การพูดคุยระหว่างประเทศมีกระบวนการสากลอยู่
ด้าน นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รมว.ต่างประเทศ แถลงผลการประชุมว่า จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถือเป็นการละเมิดปฏิญญาไทย-กัมพูชา ท่าทีของเราคือการระงับการปฏิบัติตามปฏิญญา แต่ส่วนไหนที่เราดำเนินการฝ่ายเดียวเช่นการเก็บกู้ทุ่นระเบิดก็จะดำเนินการต่อ โดยกระทรวงการต่างประเทศ จะประท้วงเป็นลายลักษณ์อักษรต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตามกรอบอนุสัญญาออตตาวา ซึ่งตนได้คุยกับ นายปรัก สุคน รองนายกฯและรมว.ต่างประเทศกัมพูชาแล้ว และบอกไปว่า เหตุการณ์ดังกล่าวไม่ควรเกิดขึ้นเพราะเป็นการละเมิดสิ่งที่ตกลงกันไว้ รวมถึงชี้แจงกับสหรัฐอเมริกา และมาเลเซีย ที่เป็นพยานว่าเหตุใดเราต้องระงับการดำเนินการตามปฏิญญา
รวมถึงชี้แจงข้อเท็จจริงไปที่ประชาคมโลก โดยประสานไปทางกองทัพไทย และกองทัพบก เพื่อนำข้อเท็จจริงต่างๆ ไปชี้แจงเพื่อให้เกิดความหนักแน่นและชอบธรรม หากต้องการให้ปฏิญญากลับไปสู่สิ่งที่ควรจะเป็น จำเป็นที่ฝ่ายกัมพูชา ต้องออกมาแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เช่นการแสดงความเสียใจ การตรวจสอบข้อเท็จจริงต่างๆและมีมาตรการเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอย
ถามว่าหากกัมพูชา ไม่รับผิดชอบจะมีมาตรการอะไรตอบโต้เพิ่มเติมหรือไม่ นายสีหศักดิ์ กล่าวว่า ตอนนี้เราก็ระงับการปฏิบัติตามปฏิญญา เมื่อถามว่า เราประท้วงมาโดยตลอดครั้งนี้ก็ยังประท้วงอีกแล้วจะได้อะไรกลับมา นายสีหศักดิ์ กล่าวว่า เรายังคงต้องยืนยันที่จะประท้วงเพราะเป็นการละเมิดข้อตกลงที่เรามีอยู่ และให้ประชาคมโลกเกิดความเข้าใจเหตุที่เราต้องระงับปฏิญญาทุกข้อที่ลงนามไว้เช่นการถอนกำลังทหารออกจากพื้นที่ เว้นแต่เก็บกู้ทุ่นระเบิดที่เราดำเนินการของเราเองได้ไม่ใช่การประท้วงอย่างเดียว และการประท้วงที่ว่าถือเป็นการประณามในคราวเดียวกันด้วย เมื่อถามว่ามาตรการที่ออกมาถือว่าเด็ดขาดสูงสุดแล้วใช่หรือไม่ นายสีหศักดิ์ กล่าวว่า ก็ต้องดูท่าทีการตอบสนองของกัมพูชา เราก็ต้องยกระดับความเด็ดขาดของเราได้
แน่นอนว่าแม้รัฐบาล ที่นำโดย นายอนุทิน ชาญวีรกูล จะแสดงท่าทีแข็งกร้าวกว่าปกติ หลังเกิดเหตุทหารเหยียบกับระเบิดของกัมพูชาในเขตไทย มีการ “ระงับ” ปฏิญญาว่าด้วยสันติภาพกับกัมพูชา พร้อมทั้งระงับความร่วมมือในทุกด้านไปแล้วก็ตาม แต่นาทีนี้สำหรับคนไทยแล้วถือว่า “อารมณ์ไปไกล” กว่านั้นมากแล้ว ลักษณะที่เกิดขึ้นถือว่า “เป็นเอกภาพ” มากขึ้นกว่าเดิม ให้ไทย “จัดการขั้นเด็ดขาด” เสียที และหมดเวลาการประท้วงได้แล้ว เพราะไร้ประโยชน์ไม่เกิดผลใดๆทั้งสิ้น
ขณะเดียวกันสิ่งที่ต้องมาพิจารณากันอีกครั้งก็คือ กรณี “เอ็มโอยู” ที่มีการลงนามกันมากว่ายี่สิบปี ถือว่าไร้ประโยชน์หรือไม่ เพราะไทยเป็นฝ่ายถูกกัมพูชาละเมิดรุกล้ำอธิปไตยมาตลอด สิ่งที่ไทยทำได้ก็คือ ส่งหนังสือประท้วง ซึ่งตามสถิติที่มีการบันทึกเอาไว้กว่า 600 ครั้ง และหากจะรวมก็ต้องรวมครั้งล่าสุดที่ทหารไทยเหยียบกับระเบิดกัมพูชาขาขาดเป็นรายที่ 7 เข้าไปด้วย
หากพิจารณาในทางการเมืองอาจจะเห็นว่า รัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล มีท่าทีขึงขัง แข็งกร้าวมากขึ้นกับกัมพูชา หลังเกิดเหตุน่าเศร้าดังกล่าว ซึ่งก็ต้องเป็นลักษณะตามน้ำหรือไม่ เพราะอารมณ์โกรธของคนไทยกำลังพลุ่งพล่านสูงขึ้นเรื่อยๆ และเห็นว่าท่าทีการประท้วง การระงับความร่วมมือแบบที่แสดงออกมานั้นเชื่อว่า คนไทยยังไม่พอใจแน่นอน ยังต้องการให้มีการตอบโต้ที่หนักหน่วงรุนแรงกว่านี้ เพราะไม่เช่นนั้นจะไม่มีหลักประกันใดๆเลยว่าจะไม่มี “รายที่ 8-9-10” ตามมาอีกในอนาคต และเราก็ต้อง “ประท้วง” วนเวียนแบบนี้ไม่สิ้นสุด !!


