xs
xsm
sm
md
lg

แก้รธน.ส่อแห้ว ไม่จำเป็น เริ่มใหม่หลังเลือกตั้ง !?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เมืองไทย 360 องศา

เวลานี้พรรคการเมืองใหญ่ๆ จำนวน 3 พรรค คือ เพื่อไทย ประชาชน และภูมิใจไทย ได้ทยอยส่งร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 เพื่อนำไปสู่การได้มาของ สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ หรือ สสร. เพื่อมายกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ หรือ “ฉีกฉบับปัจจุบันทิ้งไป”

อย่างไรก็ดี มีเสียงเตือนออกมาว่า โอกาสที่จะสำเร็จนั้นยากมาก โดยเฉพาะไม่ทันเวลาในช่วง 3-4 เดือน ในช่วงรัฐบาลนี้ ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาจากปฏิกิริยาของสังคมก็ต้องยอมรับว่า“รู้สึกเฉยๆ” ไม่ได้ยินดียินร้าย มีแต่พรรคการเมืองบางพรรคเท่านั้น ที่มีความต้องการ และอ้างความต้องการของประชาชน

ขณะเดียวกัน แม้ว่าทาง ส.ส. หรือสภาผู้แทนราษฎร จะมีความเห็นตรงกันในเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญแล้ว แต่ยังต้องฝ่าด่านสำคัญไปให้ได้ นั่นคือ ต้องมีเสียงสนับสนุนจากส.ว.อย่างน้อย หนึ่งในสาม หรือราว 67 เสียง ถึงจะผ่านไปได้ หากได้เสียง ส.ว.ไม่ถึงจำนวนดังกล่าว ทุกอย่างก็จบเห่ ซึ่งนาทีนี้ยังไม่แน่ชัดว่าส.ว.จะมีท่าทีอย่างไร

อีกทั้งเมื่อพิจารณาจากอารมณ์ของสังคมในเวลานี้ที่มองไม่เห็นความจำเป็นต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่พวกเขาเน้นไปในเรื่องสนใจ “ปากท้อง” และเรื่องเศรษฐกิจอื่นๆ ที่เร่งด่วนมากกว่า อีกทั้งยังมองว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญล้วนเป็นผลประโยชน์และความต้องการของพวกนักการเมืองเท่านั้น

ที่สำคัญคือ การยกร่าง รัฐธรรมนูญใหม่ โดย สสร. รวมการทำประชามติ เบ็ดเสร็จทั้งกระบวนการ ต้องใช้งบประมาณ หลักหมื่นล้าน

นายสมคิด เชื้อคง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง สมาชิกพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึง ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ของพรรคเพื่อไทย เกี่ยวกับ สสร. ว่า น่าจะมีการปรับปรุงจากร่างเดิมบ้างเล็กน้อย เดิมทีร่างของพรรค พท.ต้องใช้เวลาประมาณ 8 เดือน ถึงจะได้ สสร. เพราะให้สสร. มาจากการเลือกตั้งทุกจังหวัด 200 คน

เรื่องนี้ต้องใช้เวลา ดังนั้น ถ้าจะทำภายใน 3-4 เดือน ไม่แน่ใจว่าจะเร่งรัดได้อย่างไร ตนยังไม่เข้าใจเลยว่า กระบวนการจะแก้อย่างไรบ้าง นอกจากนี้ ในการแก้มาตรา 256 ถึง สส.จะยกมือให้ทั้งหมด แต่หาก สว. 1 ใน 3 ไม่ยกมือให้ก็สะดุดอยู่ดี เพราะฉะนั้น เรื่องนี้ต้องไปตกผลึกกัน ไม่เช่นนั้นจะสูญเปล่า โดยเฉพาะเวลาสั้นๆ ที่จะยุบสภา ต้องไปคิดให้ดีว่า ยื่นไปแล้วจะได้อะไรหรือไม่ เว้นแต่ว่ารัฐบาลจะอยู่ไปอีก 1 ปีครึ่ง อย่างนั้นอาจจะทัน

ถามว่า พรรคประชาชนรู้เงื่อนไขในกรอบเวลานี้หรือไม่ นายสมคิด กล่าวว่า เขาดูเงื่อนไขทั้งนั้น แต่บอกว่า 4 เดือนเสร็จ ถ้าคิดตามกฎหมาย มันเป็นไปไม่ได้หรอก 6 เดือนก็ไม่เสร็จ เรื่องนี้มี 2 แนวทาง คือ มี สสร.มายกร่าง หรือจะให้กรรมาธิการมายกร่างกันเอง อยู่ที่กฎหมายที่แต่ละพรรคจะเสนอ

ส่วนที่พรรคประชาชน ยืนยันว่า หากร่างแก้ไขผ่านสภา 3 วาระ ก็จะทำทันภายในเดือน ม.ค.ปี69 นายสมคิด กล่าวว่า คิดได้ แต่ทำไม่ได้หรอก เพราะติดกรอบระยะเวลา แค่เรื่องทำประชามติ ก็ประมาณ 4 เดือนแล้ว และกว่ากรรมาธิการจะประชุมเถียงกันแต่ละมาตรา ก็ใช้เวลาอีก ตนเห็นความตั้งใจ แต่กรอบเวลามันน้อย

“ใจผม ถ้าอยากยกร่างกันจริงๆ นายอนุทิน ชาญวีรกูล ซึ่งเป็นนายกฯเดินมาสักหน่อย เตรียมยุบสภา พรรคไหนจะทำก็ไปเสนอร่างแก้ไขกันใหม่ แต่ไม่รู้ว่า 4 เดือน จะติดจรวดอย่างไรให้ทัน แต่ที่เคยทำมามันเสร็จไม่ทันสักที” นายสมคิด ระบุ

ส่วนที่พรรคประชาชน ยืนยันว่า พรรคภูมิใจไทยพร้อมหนุนเรื่องนี้ นายสมคิด กล่าวว่า พรรค ภท. พรรคเดียวก็หนุนได้ ถ้าอยากจะทำ แต่ต้องดูร่างเขาก่อน ว่าจะทำอย่างไร ทั้งนี้ คิดว่าหาก นายอนุทินรู้ปัญหา ก็เร่งแก้เลย ไม่ใช่มาดึงหรือมาดองเหมือนประชามติ รอบที่แล้ว

เมื่อถามว่า แสดงว่ารัฐบาลชุดนี้ จะไม่ได้มาทำงานระยะสั้นๆ เหมือนที่ตกลงกับพรรคปชน.ไว้ ใช่หรือไม่ เพราะมีเงื่อนไขกรอบเวลาของการแก้ไขรัฐธรรมนูญอยู่ นายสมคิด กล่าวว่า เขาบอก 4 เดือน ก็ยุบสภา ต้องดูว่าหากเดินไปต่อจะถูกด่าหรือไม่ เพราะรัฐบาลได้สัญญาประชาคมไว้แล้ว เพราะฉะนั้นเมื่อสัญญาไว้แล้ว จะเอาเหตุผลอะไรมายุบสภา ส่วนเรื่องเงื่อนไขรัฐธรรมนูญ ถ้าจะให้ดีก็ยุบสภาให้เร็วหน่อย 1 เดือน ก็ได้ แล้วไปเริ่มกันใหม่ ทุกพรรคไปหาเสียงเรื่องแก้รัฐธรรมนูญได้เลย แล้วจะสำเร็จด้วย

ดังนั้น หากพิจารณาถึงกระบวนการในการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แทนฉบับปัจจุบัน คือ ฉบับปี 2560 นั้น มันไม่ง่ายเลย แม้กระทั่งการแก้ไข มาตรา 256 เพื่อนำไปสู่การได้มา ส.ส.ร. เพียงแค่มาตราเดียว ก็ต้องมีขั้นตอนและกระบวนการ เวลานาน และที่สำคัญหากส.ว.จำนวนไม่ถึง หนึ่งในสาม คือ 67 คน ไม่เห็นชอบ ทุกอย่างก็จบลงทันที

นายนิกร จำนง ผู้อำนวยการพรรคชาติไทยพัฒนา และ อดีตเลขานุการคณะกรรมาธิการร่วมกันพิจารณา ร่างพระราชบัญญัติ ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. … อดีตประธานคณะอนุกรรมการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับแนวทางในการทำประชามติ เพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 กล่าวถึงเรื่องการแก้ไข รธน. กล่าวว่า เมื่อมีการเสอนร่างแก้ไขรธน.เข้าไปแล้ว การโหวตเห็นชอบทั้งวาระแรก และวาระสาม ต้องมีเสียงของสมาชิกวุฒิสภาโหวตเห็นชอบด้วย ซึ่งหาก สว.โหวตเห็นชอบไม่ถึง 1 ใน 3 ก็จบเลย ต้องได้เสียง สว. 67 เสียง หากเสียงโหวต สว.ไม่ถึงหนึ่งในสาม ร่างแก้ไข รธน.ก็ไม่มีทางผ่านรัฐสภา

แต่หากรัฐบาลเสนอร่างแก้ไขรธน.เข้ารัฐสภา รัฐบาลมีข้อได้เปรียบ คือสามารถเชิญ สว.มาคุยกันก่อนได้ ให้คนของรัฐบาลไปคุยกับ สว. เพราะการยกร่างฯ ขึ้นมาแล้วจะให้เขาโหวตเห็นชอบผ่านให้ ต้องมีการคุยกันก่อน

นายนิกร กล่าวว่า วิงวอนไปยังพรรคร่วมรัฐบาล ว่า ควรแสดงความจริงใจในเรื่องนี้ เพราะหาก ครม.หรือพรรคร่วมรัฐบาลเสนอร่างแก้ไขรธน. เข้าไปด้วยจะสามารถใช้เป็นสะพานเชื่อมไปยังสมาชิกวุฒิสภาได้ ทำให้มีการคุยกับสว. คิดว่ารัฐบาล ควรต้องมีร่างแก้ไขรธน.ของตัวเอง ทำด้วยมือตัวเองดีกว่า ไม่ใช่ไปอยู่ใต้อันเดอร์พรรคการเมืองอื่น

นายนิกร กล่าวถึงไทม์ไลน์การแก้ไข รธน.และการออกเสียงประชามติแก้ไขรธน.ว่า ก่อนสิ้นเดือนตุลาคม ร่างแก้ไข รธน. ต้องผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา วาระแรกให้ได้ จากนั้นตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณา ร่าง แก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยพิจารณาภายในเวลาสี่สิบห้าวัน ที่ก็มีแค่ไม่กี่มาตรา ก็ไปพิจารณา เช่น เรื่องที่มาของ ส.ส.ร.ที่ให้มาโดยทางอ้อม จากนั้นพอมีการเปิดประชุมรัฐสภาสมัยหน้า ที่จะเปิดวันที่ 12 ธันวาคม ก็มาพิจารณาต่อ ในวาระสอง และวาระสาม จากนั้นหากผ่านรัฐสภา ทางประธานรัฐสภา ก็ส่งไปให้ ครม.ทางครม.ก็ต้องไปเคาะวันลงประชามติ ที่เคาะให้ตรงกับวันเลือกตั้ง ส.ส. ซึ่งคาดการณ์ว่า อาจมีการเลือกตั้ง และทำประชามติใน วันอาทิตย์ที่ 29 มีนาคม 2569 หรือขยับไปอีกหนึ่งสัปดาห์ ประมาณ 5 เมษายน 2569 ที่เคลื่อนขยับได้ไม่ผิดกติกา

นั่นเป็นรายละเอียด และขั้นตอนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อหาวิธีเลือก ส.ส.ร. มายกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งพิจารณาดูแล้ว โอกาสที่จะผ่าน นั้นยังมีความเสี่ยงสูงมาก อีกทั้งหากผ่านไปจนถึงขั้นตอนการทำประชามติ ที่มีการเสนอให้ทำพร้อมกัน กับวันเลือกตั้ง มันยังเป็นเรื่องยาก ที่สำคัญก็คือ ประชาชนยังไม่มีอามรมณ์ร่วม ยังไม่เห็นความจำเป็นในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่คนจำนวนมากเห็นว่า ฉบับปัจจุบันเป็น “ฉบับปราบโกง” สร้างมาตรฐานจริยธรรม ของนักการเมือง

ขณะเดียวกันชาวบ้านยังไม่เห็นความจำเป็นเร่งด่วนมากกว่าเรื่อง “ปากท้อง” อีกทั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ยังต้องใช้งบประมาณจำนวนมหาศาล ในการทำประชามตินับหมื่นล้านบาท และโดยเฉพาะอย่างในบรรยากาศที่เป็นประชาธิปไตย ความรู้สึกเรื่องเผด็จการสืบทอดอำนาจยุค 3 ป. ก็ได้ลดลงไปแล้ว ทำให้ไม่มีบรรยากาศเร่งเร้าเหมือนในอดีต ไม่เชื่อก็ลองสังเกตปฏิกิริยาของสังคมเวลานี้ เมื่อเทียบกันระหว่าง “ปากท้อง” กับ แก้รัฐธรรมนูญ ชาวบ้านจะอยากให้แก้ไขเรื่องไหนเร่งด่วนที่สุด !!



กำลังโหลดความคิดเห็น