จากกรณีที่มีการเผยแพร่ข้อมูลผ่านสื่อและสื่อสังคมออนไลน์ พาดพิงถึงองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในประเด็นการให้สัมปทาน และการดำเนินการด้านสื่อโฆษณาบนรถโดยสาร รวมถึงข้อกล่าวหาเรื่องการทุจริต การปลอมแปลงลายมือชื่อ และการแก้ไขเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการทำสัญญา ล่าสุด ขสมก.ออกมาชี้แจงข้อเท็จจริงอย่างเป็นทางการ เพื่อคลี่คลายความสับสนที่เกิดขึ้นในสังคม
ดร.กิตติกานต์ จอมดวง จารุวรพลกุล ผู้อำนวยการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ ให้สัมภาษณ์ว่า ขสมก.ได้ทราบข่าวว่า นายก่อเกียรติ พาณิชยารมณ์ ทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 9 ธันวาคม 2568 ขอให้ ขสมก.ชี้แจงกรณีการกล่าวอ้างว่ามีการปลอมแปลงลายมือชื่อในการลงนามสัญญาเช่าเนื้อที่โฆษณาบนรถโดยสารของ ขสมก.
ภายหลังจากทราบข่าวดังกล่าว ขสมก.ได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างรอบด้าน ทั้งในส่วนของเอกสารสัญญา ขั้นตอนการดำเนินงาน และข้อมูลที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ผลการตรวจสอบยืนยันชัดเจนว่า ข้อกล่าวอ้างดังกล่าวของ นายก่อเกียรติ พาณิชยารมณ์ ไม่เป็นความจริง และไม่พบพฤติการณ์ตามที่มีการกล่าวหา
ตรวจสอบซ้ำทุกฝ่าย ชี้เป็นเรื่องเดิมที่เคยจบไปแล้ว
ผู้อำนวยการ ขสมก.ระบุเพิ่มเติมว่า นอกเหนือจากการตรวจสอบภายใน ขสมก.ยังได้ตรวจสอบข้อมูลร่วมกับคู่สัญญาอย่างเป็นทางการ เพื่อให้เกิดความรอบคอบและเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย จากการตรวจสอบกับคู่สัญญา คือ บริษัท แพลน บี มีเดีย จำกัด (มหาชน) พบว่า ประเด็นที่ นายก่อเกียรติ พาณิชยารมณ์ นำมากล่าวอ้างในครั้งนี้ เป็นข้อพิพาทเดิมที่เกิดขึ้นเมื่อกว่า 20 ปีที่ผ่านมา และได้ผ่านกระบวนการยุติธรรมมาอย่างครบถ้วนแล้ว
ข้อมูลจากคู่สัญญาระบุว่า ได้มีการดำเนินคดีต่อนายก่อเกียรติ พาณิชยารมณ์ ต่อเนื่องรวม 21 คดี ศาลมีคำพิพากษาให้คู่สัญญาเป็นฝ่ายชนะนายก่อเกียรติทุกคดี และเป็นคดีที่สิ้นสุดไปแล้วทั้งหมด ขณะเดียวกัน ขสมก.เองก็เคยใช้สิทธิตามกฎหมาย ดำเนินคดีหมิ่นประมาทต่อผู้ร้องเรียนในประเด็นเดียวกันมาก่อนแล้ว สะท้อนชัดว่าประเด็นดังกล่าวไม่ใช่ข้อกล่าวหาใหม่ แต่เป็นเรื่องที่เคยถูกตรวจสอบ พิจารณา และยุติไปแล้วในทางกฎหมาย
ตอบชัด เรื่องเดิมที่ถูกเล่าใหม่
“การที่นายก่อเกียรติ พาณิชยารมณ์ นำข้อพิพาทที่ผ่านการตรวจสอบและกระบวนการยุติธรรมมาแล้ว กลับมานำเสนอซ้ำในพื้นที่สาธารณะ โดยไม่อธิบายบริบททางกฎหมายอย่างครบถ้วน ย่อมทำให้สังคมเกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน” ดร.กิตติกานต์กล่าว
พร้อมย้ำว่า จากการตรวจสอบทุกมิติของ ขสมก.และข้อมูลจากคู่สัญญา ยืนยันตรงกันว่าผู้ร้องเรียนกำลังหยิบยกเรื่องเดิมที่จบไปแล้วกลับมาเล่าใหม่
ย้ำบทบาทองค์กรรัฐ ยืนบนกฎหมาย ไม่เล่นตามกระแส
ดร.กิตติกานต์ระบุว่า ในฐานะหน่วยงานรัฐ ขสมก.มีหน้าที่รักษามาตรฐานการบริหารจัดการทรัพย์สินของรัฐ โดยยึดหลัก ความถูกต้องตามกฎหมาย ความโปร่งใส และความรับผิดชอบต่อสาธารณะ เป็นสำคัญ
“ขสมก.ไม่มีเหตุผลใดที่จะปกปิดข้อเท็จจริง และไม่จำเป็นต้องตอบโต้ด้วยอารมณ์ สิ่งที่องค์กรรัฐต้องทำ คือการตรวจสอบให้ครบถ้วน และปล่อยให้ข้อเท็จจริงพูดด้วยตัวมันเอง”
สงวนสิทธิคุ้มครององค์กรตามกฎหมาย
สำหรับการเผยแพร่ข้อมูลในครั้งนี้ ผู้อำนวยการ ขสมก.ระบุว่า องค์กรอยู่ระหว่างการพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายเพิ่มเติมกับผู้ร้องเรียน หากพบว่าการเผยแพร่ข้อมูลเข้าข่ายเป็นเท็จ หรือก่อให้เกิดความเสียหายต่อชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือของหน่วยงาน
ขสมก.ยังขอความร่วมมือไปยังประชาชนและผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์ ให้ใช้ความระมัดระวังในการรับและส่งต่อข้อมูล โดยควรพิจารณาจากแหล่งข้อมูลทางการและข้อเท็จจริงที่ผ่านการตรวจสอบแล้ว
ดร.กิตติกานต์ย้ำว่า การร้องเรียนถึงผู้บริหารประเทศเป็นสิทธิของประชาชน แต่เมื่อข้อร้องเรียนนั้นเป็นเรื่องที่เคยผ่านการตรวจสอบและกระบวนการยุติธรรมมาแล้ว การนำกลับมากล่าวอ้างอีกครั้ง ย่อมทำให้สังคมตั้งคำถามถึงเจตนาที่ซ่อนอยู่ มากกว่าข้อเท็จจริงที่ถูกตรวจสอบไปแล้ว
และสำหรับสังคม สิ่งสำคัญไม่แพ้กัน คือการใช้วิจารณญาณ รับฟังข้อมูลจากหลายด้าน โดยเฉพาะจากหน่วยงานทางการ ก่อนตัดสินหรือส่งต่อเรื่องราวใดๆ ที่อาจกระทบต่อบุคคลหรือองค์กรในที่สาธารณะ


