xs
xsm
sm
md
lg

นักวิจัยชี้ไต้ฝุ่น‘คัลแมกี’สัญญาณเตือนภัยโลกร้อน ย้ำแนวโน้มสภาพอากาศสุดขั้วทวีความรุนแรงและถี่ขึ้น

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



นักวิจัยชี้ “คัลแมกี” ซึ่งได้ชื่อว่า เป็นไต้ฝุ่นที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากที่สุดในปีนี้ คือสัญญาณเตือนที่ชัดเจนว่า ภาวะโลกร้อนอาจทำให้สภาพอากาศสุดขั้วมีความรุนแรงมากขึ้น ถึงแม้ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่ามันทำให้จำนวนไต้ฝุ่นที่เกิดขึ้นในแต่ละปีมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในระยะยาว

ไต้ฝุ่นคัลแมกีทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 188 คน และสร้างความเสียหายอย่างหนักต่อโครงสร้างพื้นฐานและพื้นที่เพาะปลูกทั่วฟิลิปปินส์เมื่อต้นสัปดาห์ที่แล้ว ก่อนเคลื่อนตัวไปสร้างความเสียหายและทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 5 คนที่เวียดนามเมื่อวันพฤหัสฯ (6 พ.ย.)

ต่อมาในวันอาทิตย์ (9 ) ฟิลิปปินส์ยังถูกซูเปอร์ไต้ฝุ่น “ฟงวอง” ถล่ม ทำให้มีผู้เสียชีวิต 4 คน รวมทั้งทำให้เกิดฝนตกหนัก ลมและคลื่นรุนแรงที่เกาะลูซอน อย่างไรก็ดี เมื่อวันจันทร์ (10) ซูเปอร์ไต้ฝุ่นลูกนี้อ่อนกำลังลงและเคลื่อนออกจากหมู่เกาะฟิลิปินส์เข้าทะเลจีนใต้ คาดว่าจะขึ้นฝั่งที่ไต้หวันในวันพุธ (12)

เส้นทางการทำลายล้างของไต้ฝุ่นเหล่านี้ เกิดขึ้นพร้อมๆ กับการประชุมประจำปีสภาพภูมิอากาศโลกภายใต้การอุปถัมภ์ของสหประชาชาติ ซึ่งปีนี้จัดขึ้นที่บราซิลโดยมีผู้แทนกว่า 190 ชาติหารือกัน ขณะที่พวกนักวิจัยระบุว่า ความล้มเหลวของเหล่าผู้นำโลกในการควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นสาเหตุทำให้พายุทั้งหลายที่เกิดขึ้นมา ทวีความรุนแรงขึ้น

เบน คลาร์ก นักวิจัยด้านสภาพอากาศสุดขั้วของสถาบันแกรนธัมว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า อุณหภูมิผิวน้ำทะเลทั้งที่มหาสมุทรแปซิฟิกด้านตะวันตกเฉียงเหนือและทะเลจีนใต้ล้วนถือเป็นสัญญาณเตือนที่ชัดเจน และสำทับว่า คัลแมกีมีความรุนแรงและทำให้เกิดฝนตกหนักขึ้นเนื่องจากอุณหภูมิผิวน้ำทะเลในบริเวณดังกล่าวสูงขึ้น และแนวโน้มนี้ชัดเจนว่า เกี่ยวข้องกับภาวะโลกร้อนที่เกิดจากมนุษย์

นักวิจัยระบุว่า แม้ไม่อาจฟันธงได้ว่า ปรากฏการณ์ด้านสภาพอากาศปรากฏการณ์ใดที่มีสาเหตุมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโดยตรง แต่เมื่อพูดกันตามหลักการแล้ว อุณหภูมิพื้นผิวน้ำทะเลที่อุ่นขึ้น จะเป็นตัวเร่งกระบวนการระเหย และเพิ่ม “พลัง” ให้พายุหมุนเขตร้อน

จิอันมาร์โก เมนกัลโด นักวิจัยของมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ ขานรับว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้ไต้ฝุ่นมีความรุนแรงขึ้น จากการที่อุณหภูมิพื้นผิวของทะเลสูงขึ้นและความชื้นในชั้นบรรยากาศก็เพิ่มขึ้น และเสริมว่า แม้ปัจจัยนี้ไม่ได้หมายความว่า ไต้ฝุ่นทุกๆ ลูกจะต้องรุนแรงขึ้น แต่มีแนวโน้มในภาพรวมว่าพายุจะรุนแรงยิ่งขึ้น ปริมาณฝนเพิ่มขึ้น และลมแรงขึ้นในสภาพอากาศที่ร้อนขึ้น

เมนกัลป์โด ที่ร่วมจัดทำรายงานเกี่ยวกับบทบาทของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในไต้ฝุ่นรากาซาเมื่อเดือนก.ย. ยังบอกอีกว่า แม้จำนวนไต้ฝุ่นที่เกิดขึ้นในแต่ละปีไม่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนในระยะยาว แต่ความถี่ของการเกิดพายุที่รุนแรงที่สุดและช่วงเวลาที่พายุทวีความรุนแรงอย่างรวดเร็ว คือสิ่งที่กำลังเพิ่มขึ้น ซึ่งมีแนวโน้มว่า เกิดจากอุณหภูมิของมหาสมุทรที่สูงขึ้นและความไม่เสถียรของบรรยากาศที่เพิ่มขึ้นซึ่งเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ปีที่ผ่านมา ฟิลิปปินส์เผชิญไต้ฝุ่นที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 6 ครั้งในช่วงเวลา 1 เดือน นอกจากนั้นในเดือนพ.ย.ยังเกิดพายุหมุนเขตร้อนถึง 4 ครั้งพร้อมกัน ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เกิดขึ้นบ่อยนัก และบ่งชี้ว่า พายุอาจเกิดขึ้นภายในช่วงเวลาที่สั้นกว่าเดิม

ดรูบาโจตี ซาแมนตา นักวิจัยด้านสภาพภูมิอากาศของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีนันยางของสิงคโปร์ ชี้ว่า คัลแมกีคือสัญญาณเตือนที่ชัดเจนว่า รูปแบบความเสี่ยงดังกล่าวกำลังปรากฏขึ้นมาแล้ว

เฟิง เซียงโป นักวิจัยด้านพายุเขตร้อนของมหาวิทยาลัยรีดดิงของอังกฤษ ระบุว่า แม้ในทางเทคนิค คัลแมกีไม่ใช่พายุที่มีความรุนแรงที่สุดที่ถล่มเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปีนี้ แต่ไต้ฝุ่นลูกนี้ได้เพิ่มผลกระทบสะสมของสภาพอากาศสุดขั้วตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ซึ่งทำให้ความเสียหายรุนแรงกว่าความเสียหายที่เกิดจากพายุแต่ละลูก เนื่องจากขณะเกิดไต้ฝุ่นคัลแมกีนั้นดินอุ้มน้ำจนเต็ม น้ำในแม่น้ำเต็มตลิ่ง และโครงสร้างพื้นฐานอ่อนแอลง ซึ่งในสภาพเช่นนี้แม้เป็นแค่พายุที่ไม่รุนแรงก็อาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้เกิดหายนะรุนแรง

ทั้งเฟิงและเมนกัลโดเตือนว่า พื้นที่ที่เสี่ยงได้รับผลกระทบจากพายุกำลังขยายออกไปเนื่องจากขอบเขตของคลื่นพายุซัดฝั่งและคลื่นในมหาสมุทรที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเมื่อประกอบกับระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น จะทำให้เกิดความเสี่ยงรุนแรงต่อพื้นที่ลุ่มต่ำโดยเฉพาะอย่างยิ่งในฟิลิปปินส์และพื้นที่ชายฝั่งที่เป็นที่ตื้นในเวียดนาม

(ที่มา: รอยเตอร์)
กำลังโหลดความคิดเห็น