xs
xsm
sm
md
lg

บล.พายชี้ปี68 หุ้นไทยราคาถูกและปันผลสูง จับตาปี 69 มีเสน่ห์ได้หรือไม่

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ท่ามกลางความท้าทายที่หลากหลายของประเทศไทยในปี 2568 ทั้งด้านเศรษฐกิจและการเมืองที่ไม่มั่นคง ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยผันผวนลงต่อเนื่อง จนทำให้นักลงทุนหลายรายเริ่มหมดศรัทธา แต่ท่ามกลางความท้าทายเหล่านี้ ยังมีจุดเด่นที่น่าสนใจซ่อนอยู่ โดยเฉพาะเรื่องราคาที่ถูกลงและเงินปันผลสูง ซึ่งอาจเป็นโอกาสทองสำหรับนักลงทุนที่รอคอย

นายกวี ชูกิจเกษม ประธานเจ้าหน้าที่สายการบริหารพอร์ตการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) กล่าวถึง ภาพรวมตลาดหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมาว่า “ตลาดหุ้นไทยยังคงผันผวนและปรับตัวลดลงต่อเนื่องสามปีติด ซึ่งถือว่าเป็นการให้ผลตอบแทนติดลบติดต่อกันนานที่สุด หากไม่นับช่วงวิกฤติต้มยำกุ้ง สาเหตุอาจจะมาจากการที่ประเทศไทยไม่ได้มีหุ้นเทคโนโลยีหรือหุ้นที่อยู่ในอุตสาหกรรม Semiconductor หรือ Data Center อีกทั้งไม่ได้อยู่ใน Supply Chain ของกระแส AI ซึ่งเป็นที่สนใจของนักลงทุนต่างชาติ

ด้านเศรษฐกิจยังอยู่ในภาวะโตต่ำและอาจจะเป็นการโตต่ำถาวร จากปัญหาเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจ ภาวะหนี้สินครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง และการเข้าสู่ภาวะ aging society โดยเศรษฐกิจไทยปี 2025 โตเพียง 2% และคาดว่าจะลดเหลือ 1.7% ในปีหน้า ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าตลาดหุ้นไทยไม่มี S-curve ใหม่ๆ เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ประกอบกับปัจจัยด้านการเมืองของไทยที่ขาดเสถียรภาพ ทำให้นักลงทุนต่างประเทศไม่กลับเข้ามาลงทุน แต่ทั้งนี้ความหวังของตลาดหุ้นไทยยังมีอยู่”




เสน่ห์ใหม่ของหุ้นไทย: ราคาถูกและปันผลสูง

แม้ว่าความหวังของตลาดหุ้นไทยยังมีอยู่ แต่เราอาจจะไม่ได้เห็นหุ้นที่เป็น Growth Stock แล้วในช่วง 2-3 ปีนี้ อย่างไรก็ตาม การที่หุ้นไทยปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องทำให้ Valuation ของหุ้นบางอุตสาหกรรมถูกลงมากเช่นกัน ตัวอย่างเช่น หุ้นในกลุ่มบริการ ได้แก่ ค้าปลีก ท่องเที่ยว สื่อสาร ที่เคยพาหุ้นไทยไปแตะ 1,850 จุดในปี 2561 ปัจจุบันหลายบริษัทในกลุ่มเหล่านี้ทำกำไร New High แต่ราคาหุ้นไม่ปรับตัวขึ้น เพราะตลาดถูกกดดันจากปัจจัยภายนอก

"หากจะตอบคำถามที่ว่าเสน่ห์ของหุ้นไทยในตอนนี้คืออะไร เราอาจจะมองไปถึงเรื่องราคาที่เหมาะสมและเงินปันผลที่มีการจ่ายในระดับที่สูงมากที่ 4-7% โดยเฉพาะหุ้นใน SET50 ดังนั้นในปี 2569 ตลาดหุ้นไทยจะสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้หรือไม่ เรามองว่ายังมีข้อจำกัดหรือมี Upside ที่ไม่เยอะ ในทางกลับกัน Downside ก็ไม่ได้เยอะเช่นกัน" นายกวีกล่าว
สำหรับดัชนีหุ้นไทยที่ปัจจุบันเกิน 1,000 จุด หากตัด DELTA ที่เป็นผู้นำตลาดออกไป หุ้นได้กลับไปซื้อขายกันที่ 1,000 จุดแล้ว ทำให้ราคาหุ้นขนาดใหญ่ พื้นฐานแข็งแกร่งหลายตัว กลับไปซื้อขายใน valuation ที่เคยทำเอาไว้ตอนที่ดัชนี 1,000 จุด สะท้อนให้เห็นว่าตลาดหุ้นไทยได้รับรู้ข่าวร้ายไปหมดแล้ว และ Valuation จะเป็นจุดที่ดึงให้นักลงทุนกลับเข้ามาเพื่อรับปันผล


โอกาสใหม่: Data Center และ S-Curve

สิ่งที่นักลงทุนจะต้องติดตามในปี 2569 คือการก้าวสู่ S-Curve ใหม่ ในเรื่องของการเป็น Supply Chain ของ Data Center เนื่องจากไทยมีศักยภาพทั้งระบบอำนวยความสะดวกพื้นฐาน ระบบน้ำ ไฟฟ้า พลังงานทดแทน การสื่อสารและการขนส่ง ซึ่งเป็นปัจจัยบวกที่จะดึงดูดเม็ดเงินและการลงทุนเข้ามาในอีก 2-3 ปีข้างหน้า

"ผมเชื่อว่าในปี 2569 ไม่ใช่เฉพาะประเทศไทยที่จะเกิดความท้าทาย โลกของการลงทุนทั้งหมดจะเจอความท้าทายที่น่าจะมากกว่าในปี 2568 หรือ 2-3 ปีที่ผ่านมาก่อนหน้านั้น เพราะฉะนั้นการที่จะอยู่รอดในตลาดแบบนี้ การจัดพอร์ตลงทุนเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับนักลงทุน เพื่อรับมือกับทุกสถานการณ์ ไม่ว่าเศรษฐกิจเติบโตหรือหดตัว โลกจะมีความขัดแย้งหรือมีสงครามอะไรเกิดขึ้น การหาความรู้เพิ่มเติม การบริการพอร์ต การกระจายความเสี่ยงเป็นการรักษาสมดุลของการลงทุนที่จะทำให้เราได้ผลตอบแทนที่น่าพอใจในช่วงที่ตลาดผันผวนได้” นายกวีกล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น