นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวเปิดงานสัมมนา BAM SYMPOSIUM ครั้งที่ 1 : New Era of AMC 2025 “พลิกฟื้นสินทรัพย์ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย” จัดโดย บมจ.บริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์ ว่า เศรษฐกิจไทยในภาพรวม ปีนี้เศรษฐกิจไม่ได้ดีอย่างที่เคยเป็นมา ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ปีนี้ในภาพรวมครึ่งปีแรกโต 3% ยังดีจากต้นปีและดีจากเรื่อง Front-loaded ของการส่งออก แต่ครึ่งปีหลังอาจจะอยู่ในสถานะที่ชะลอตัวลงมาบ้าง ในภาพรวม GDP ที่ธปท.ประมาณไว้ปี 2568 อยู่ที่ประมาณ 2.2% โดยจะเริ่มชะลอตัวในไตรมาส 3 ไตรมาส 4 และก็จะเริ่มดีขึ้นในไตรมาส 1 ปี 2569
ในปี 2569 คาดว่าจะเติบโตลดลงเหลือ 1.6% โดยเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างของประเทศจริง ๆ ทั้งเรื่องสังคมสูงวัย (Aging Society) ความไม่แน่นอนทางการเมือง ความเหลื่อมล้ำทางการเงิน ปัญหาเรื่องบรรษัทภิบาล (CG) ปัญหาเรื่องการศึกษา และหลายเรื่องมากมาย อีกปัญหาหนึ่งที่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างและสำคัญจริง ๆ ที่ไม่สามารถก้าวข้ามหรือแก้ปัญหาอย่างนี้ได้ การเติบโตทางเศรษฐกิจหรือความกินดีอยู่ดีของประชาชน จะมีปัญหาจะลำบากไปเรื่อย ๆ แน่นอน นั่นก็คือเรื่องของ หนี้ครัวเรือน โดยหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูงเคยขึ้นถึง 90% กว่าของจีดีพีและขณะนี้อยู่ประมาณเกือบ 87% ของจีดีพีและลดลงมาที่ 86% กว่า ๆ ซึ่งลดลงมาจากจีดีพีที่เติบโต จากยอดหนี้ที่เติบโตชะลอลง โดยหนี้ครัวเรือนมีผลต่อความสามารถในการจับจ่ายใช้สอย หรือ อุปสงค์ (Demand) ของทั้งประเทศลดลง ท่ามกลางกำลังซื้อที่ไม่ได้แข็งแรง และไม่มีการลงทุนเพิ่ม
แต่ในหนี้ครัวเรือน 86% มีส่วนที่น่าสนใจ คือ เริ่มมีปัญหาผิดนัดชำระ ทั้งส่วนที่เป็นหนี้เสีย (NPL) แล้ว ซึ่งมีอยู่ประมาณเกือบ 4% หรือเป็นส่วนที่เริ่มผิดนัดชำระที่เรียกว่า หนี้ค้างชำระไม่เกิน 3 เดือน (SM) มีอยู่ประมาณ 8-9% รวมกันอยู่ที่ประมาณ 11-12% ซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญมากเพราะสะท้อนปัญหา NPL หรือปัญหาที่กำลังจะนำไปสู่การเป็นหนี้เสีย เพราะฉะนั้นไม่ใช่แค่เรื่องที่เป็นแรงกดดันการบริโภคและการลงทุน แต่เป็นเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ของคน เป็นเรื่องความเป็นอยู่และความสามารถในการประกอบธุรกิจของผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ของรายย่อย และเรื่องนี้ถ้าไม่รีบแก้อย่างเป็นจริงเป็นจังมีโอกาสที่ระดับหนี้ต่อ GDP จะสูงขึ้น
นายวิทัย กล่าวอีกว่า ปัญหาเชิงโครงสร้างเรื่องหนี้ครัวเรือน หรือหนี้ NPL นั้นบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) จะมีบทบาทมาก ๆ โดยจำนวน AMC ในภาพรวมของทั้งประเทศมีประมาณ 90 แห่ง และใน 90 แห่งมีการเคลื่อนไหวแอคทีฟ (Active) หรือมีการโอนสินทรัพย์แล้วก็ดำเนินธุรกิจอยู่จริง ๆ ประมาณครึ่งหนึ่ง หรือประมาณ 45 ราย โดย AMC มีบทบาทดูดซับ NPL ได้ เมื่อมี NPL เกิดขึ้น AMC ก็ไปซื้อ NPL มาใช้ความสามารถนำมาปรับโครงสร้างหรือเรียกชำระในอัตราที่ผ่อนปรนกว่าเดิมได้ ผ่อนปรนกว่าตอนที่อยู่ในสถาบันการเงิน ผ่อนปรนลดดอกเบี้ย ไม่คิดดอกเบี้ย ไม่คิดค่าธรรมเนียม ผ่อนปรนไม่ต้องชำระเต็มจำนวน ทำให้หนี้เสีย กลับกลายเป็น หนี้ดี ได้เร็วขึ้น
สำหรับหน้าที่ในการดูดซับนั้น AMC เคยดูดซับได้สูงสุดถึงประมาณ 20% ของ NPL ในปีนั้น แต่ปัจจุบันลดลงมาเหลือประมาณ 10% เพราะฉะนั้นสิ่งที่อยากเห็นต่อไปในอนาคต คือ AMC มีบทบาทมากขึ้น เพราะ AMC เป็น จิ๊กซอว์สำคัญ ที่จะแก้ปัญหาหลังจากปล่อยสินเชื่อแล้วมีปัญหาหนี้ สามารถช่วยปัญหาเรื่องแก้หนี้ครัวเรือนได้อีกกำลัง ซึ่งธปท.อยากเห็น AMC ขยายตัว อยากเห็นการตั้ง AMC แล้วมีความดำเนินการที่ดีมากขึ้นกว่าในปัจจุบัน โดยธปท.กำลังจะมีประกาศเรื่อง JV-AMC (การร่วมลงทุนจัดตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์) ให้สถาบันการเงินมาร่วมลงทุนจัดตั้ง JV-AMC กับตัว AMC ปัจจุบันที่มีอยู่ได้
“ประกาศ เรื่อง JV-AMC นี้หมดอายุไปมาตั้งแต่ปี 2567 และภายใน 2-3 วันนี้ธปท.จะออกประกาศนี้ออกมา และหวังว่าจะมีการจัดตั้ง JV-AMC มาช่วยคน ช่วย SME ที่มีปัญหา อยากเห็นจำนวนของ AMC ที่ แอคทีฟ มากกว่าครึ่งหนึ่ง หรือประมาณ 45 รายจาก 90 ราย อยากเห็นพอร์ตการซื้อการดูดซับ (Absorption) ของการซื้อ NPL ที่มากกว่า 10% กลับไปอยู่ 20 – 25% หรือ 30% ของยอด NPL ธปท. อยากเห็นการแก้ปัญหาที่เป็นรูปธรรมจาก AMC และเชื่อมั่นมากว่า BAM ซึ่งเป็นผู้นำในตลาดนี้จะมีบทบาทสำคัญจริง ๆ”นายวิทัย กล่าว
นอกจากนี้ ธปท. ร่วมมือกับ กระทรวงการคลัง สมาคมธนาคารไทย พยายามผลักดันเรื่อง AMC ที่แก้หนี้ประชาชนไม่เกิน 100,000 บาท ที่เป็นอีกเรื่องที่อยากจะทำให้เกิดเรื่องจริงขึ้นมา และหวังว่าภายในสัปดาห์นี้ หรือสัปดาห์หน้า การหารือจะได้ข้อยุติ และหวังว่าจะสำเร็จ ซึ่งจะเป็นการโอนหนี้ที่ต่ำกว่า100,000 บาทเข้าไปสู่การแก้ไขหนี้ ซึ่งหวังว่าจะช่วยลูกหนี้ได้ประมาณ 1.5 – 2 ล้านคน โดยส่วนใหญ่จะเข้าไปอยู่ที่ SAM อีกส่วนหนึ่งอาจจะให้ BAM ช่วยพิจารณา


