xs
xsm
sm
md
lg

สุดเจ๋ง! สสส.ปลุกพลัง ‘นวัตกรรุ่นใหม่’ เบ่งบานตามศักยภาพ สร้างจักรวาลสุขภาพ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เมื่อพูดถึง “สุขภาพ” เราอาจนึกถึงการรักษา แต่ตัวเลขปัจจุบันกำลังบอกเล่าเรื่องใหญ่กว่าที่เห็น ประเทศไทยวันนี้กำลังเผชิญช่วงเวลาที่สุขภาวะของประชาชนเปราะบางกว่าที่เคย

โรคไม่ติดต่อ (NCDs) เริ่มกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน ตัวเลขผู้ป่วยเบาหวานและความดันเพิ่มขึ้นทุกปี ขณะที่องค์การอนามัยโลกชี้ว่า NCDs ทำให้คนทั่วโลกเสียชีวิตถึง 74% ด้านปัญหาสุขภาพจิตก็ขยับขึ้นมาเป็นอีกวิกฤตเงียบ รายงานปี 2568 ระบุว่า กว่า 13.4 ล้านคนไทยกำลังเผชิญปัญหาเหล่านี้

สถานการณ์ที่เกิดขึ้นบ่งชี้ว่า แนวทางด้านสาธารณสุขต้องขยับจาก “การรักษา” ไปสู่ “การป้องกัน”

แนวคิดกลายเป็นหัวใจสำคัญของการประกวด Prime Minister’s Award for Health Promotion Innovation 2025 ที่สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ใช้เป็นพื้นที่เฟ้นหาไอเดียใหม่จากทั่วประเทศ โดย สสส. เดินหน้าปลุกพลังนวัตกรรมผ่านเวที ThaiHealth Inno Awards มาตั้งแต่ปี 2560 เปลี่ยนพื้นที่ประกวดให้กลายเป็นแหล่งบ่มเพาะไอเดีย และต่อยอดงานสร้างเสริมสุขภาพสู่การเปลี่ยนแปลงระดับนโยบาย สิ่งแวดล้อม ชุมชน และพฤติกรรมสุขภาวะ

ในปีนี้ งานประกาศรางวัลจัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 7 และเปิดรับไอเดียจากทุกภาคส่วน ตั้งแต่เยาวชนมัธยม อาชีวะ ประชาชนทั่วไป สตาร์ทอัพ ไปจนถึงภาคีเครือข่าย
 

นายโสภณ ซารัมย์ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ สสส.
นายโสภณ ซารัมย์ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ สสส. ย้ำตั้งแต่ต้นว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการพัฒนานวัตกรรมสร้างเสริมสุขภาพ ซึ่งถือเป็นยุทธศาสตร์เชิงรุกและหัวใจสำคัญในการแก้ไขปัญหาสุขภาวะได้อย่างตรงจุด และวางรากฐานระบบสนับสนุนสุขภาพที่แข็งแกร่งให้กับพี่น้องประชาชน ซึ่งการประกวดในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นพลังความคิดสร้างสรรค์ของเยาวชน นักศึกษา และประชาชนทั่วไปที่นำเสนอผลงานนวัตกรรมจำนวนมาก โดยสิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่การแข่งขันเพื่อชิงรางวัล แต่คือความภาคภูมิใจในการสร้างประโยชน์ให้สังคม

“Prime Minister’s Award for Health Promotion Innovation 2025 เป็นเวทีที่ใช้นวัตกรรมใหม่ ๆ มาส่งเสริมสุขภาพของประชาชน เราได้เห็นผลงานที่น่าสนใจ เช่น การลดการสูบบุหรี่ไฟฟ้า การส่งเสริมให้เยาวชนมีแรงบันดาลใจในการออกกำลังกาย นวัตกรรมที่เยาวชนและนักศึกษาส่งเข้าประกวดในครั้งนี้ ไม่ได้เพียงเป็นผลงานแข่งขัน แต่เป็นแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่ได้มาร่วมกันคิด ร่วมสร้าง และเห็นคุณค่าของการสร้างสุขภาพที่ดีในชีวิตประจำวัน”

รองนายกฯ ยังกล่าวถึงความสำคัญของการเผยแพร่ผลงานให้เกิดการใช้งานจริง ไม่จำกัดอยู่แค่ในเวทีประกวด พร้อมคาดหวังให้ สสส. สนับสนุนการนำผลงานไปสู่ภาคปฏิบัติ ทั้งด้านเทคโนโลยี การประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน และการต่อยอดสู่การคุ้มครองลิขสิทธิ์ของเยาวชน รวมถึงผลักดันการขยายผลกิจกรรมไปสู่เยาวชนในชนบท เพื่อเปิดพื้นที่ให้เด็กต่างจังหวัดเข้าถึงโอกาสในการสร้างสรรค์นวัตกรรม โดยไม่จำเป็นต้องใช้งบประมาณสูง

“ประเด็นแรกคือ การทำอย่างไรให้กิจกรรมในวันนี้ถูกเผยแพร่ต่อสาธารณะ และให้นวัตกรรมเหล่านี้ถูกนำไปใช้จริง ไม่ใช่จำกัดอยู่เพียงในห้องประชุม หากสามารถเผยแพร่ไปได้ จะช่วยให้เยาวชนคนอื่นเห็นและได้รับแรงบันดาลใจในการร่วมพัฒนานวัตกรรมต่อไป”

นอกจากนี้ นายโสภณยังชี้ว่า การนำปัญญาประดิษฐ์หรือ AI เข้ามาช่วยถือเป็นโอกาสสำคัญ เพราะ AI มีศักยภาพสูงกว่าในหลายด้าน เพียงแต่เยาวชนต้องรู้จักใช้ให้เกิดประโยชน์และไม่สร้างความเสี่ยง

 

รศ.นพ.สรนิต ศิลธรรม กรรมการกองทุน สสส. และประธานอำนวยการจัดประกวดฯ
เบ่งบานศักยภาพ สร้างจักรวาลสุขภาพที่ยั่งยืน
รศ.นพ.สรนิต ศิลธรรม กรรมการกองทุน สสส. และประธานอำนวยการจัดประกวดฯ รายงานวัตถุประสงค์การจัดงานว่า เวทีปีนี้เปิดกว้างให้ประชาชนทุกกลุ่ม ทุกช่วงวัย และทุกภาคส่วนได้มีโอกาสบ่มเพาะทักษะความรู้ด้านสุขภาวะ พร้อมร่วมพัฒนานวัตกรรมแก้ปัญหาสำคัญของประเทศ ทั้งโรคไม่ติดต่อ (NCDs) ปัญหาบุหรี่ไฟฟ้า การสร้างวินัยจราจร และความปลอดภัยทางถนน

การประกวดในปีนี้มีทีมนวัตกรสมัครเข้าร่วมถึง 178 ทีมจากทั่วประเทศ โดยคัดเลือกเหลือ 36 ทีมเพื่อเข้าร่วมกระบวนการบ่มเพาะตลอด 3 เดือน ซึ่งประกอบด้วยการเรียนรู้แนวคิดการสร้างเสริมสุขภาพ กระบวนการพัฒนานวัตกรรม และการต่อยอดสู่โมเดลธุรกิจที่ยั่งยืน โดยมีผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิดตลอดกิจกรรม

รศ.นพ.สรนิต กล่าวว่า จุดแข็งของเวทีนี้ไม่ใช่การแข่งขันเพื่อรางวัล แต่คือ “การได้ลงมือคิด ลงมือทำ” และการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ของผู้เข้าร่วม

“ผมอยากย้ำว่า จุดแข็งของการประกวดนี้ไม่ได้อยู่ที่รางวัล แต่อยู่ที่การได้เข้าร่วมและการได้ออกไอเดีย การคิด การพัฒนาศักยภาพของตนเอง และการทำความเข้าใจนวัตกรรม โดยเชื่อมโยงกับประเด็นการสร้างเสริมสุขภาพ ผมอยากให้ทุกระดับ ตั้งแต่นักเรียน นักศึกษา สามารถคิดเป็น ทำเป็นในส่วนนี้ได้อย่างแท้จริง และเมื่อท่านจบโครงการไปแล้ว ก็หวังว่า จะนำแนวคิดเหล่านี้ไปต่อยอดและใช้ประโยชน์ได้เต็มที่”

“ปีนี้กระบวนการบ่มเพาะ ใช้แนวคิด ‘Universe Room and Beyond – เบ่งบานศักยภาพ สร้างจักรวาลสุขภาพที่ยั่งยืน’ ที่มุ่งให้นวัตกรได้ปลูกฝังองค์ความรู้จากการบ่มเพาะอย่างเข้มข้น และต่อยอดจินตนาการไปสู่การสร้างประโยชน์ได้จริง ผมเชื่อว่า 36 ทีมสุดท้ายจากผู้สมัครกว่า 1,738 ทีมในปีนี้ ได้ทุ่มเทแรงกายแรงใจและพลังสร้างสรรค์อย่างแท้จริง หลายผลงานพัฒนาต้นแบบได้อย่างเป็นรูปธรรม ผมเองได้ติดตามบางผลงาน พบว่า สามารถใช้ประโยชน์ได้จริง แม้บางทีมอาจไม่ได้รางวัล แต่ผมเห็นว่า นวัตกรรมของเขามีศักยภาพนำไปใช้ได้จริง และสุดท้ายทุกท่านจะเห็นว่า รางวัลที่ได้รับนั้นมีความหมายอย่างไร”
“สิ่งที่ทุกคนทำ ไม่ได้เป็นเพียงการพัฒนานวัตกรรมด้านสุขภาพเท่านั้น แต่เป็นการส่งต่อพลังความคิดสร้างสรรค์ และหัวใจที่อยากเห็นสังคมดีขึ้น ทุกท่านคือส่วนหนึ่งของการสร้าง ‘จักรวาลสุขภาวะ’ และหวังว่า ทุกคนจะกลายเป็นรากฐานสำคัญของระบบสุขภาพไทยในอนาคต”

ไม่ได้ขาดความสามารถ แต่ขาดโอกาส
สสส. เดินหน้าสนับสนุนนวัตกรรมสุขภาพผ่านโครงการ “ThaiHealth Inno Awards” ตลอด 7 ปี มีผลงานกว่า 1,660 ทีม และสร้างนวัตกรรุ่นใหม่กว่า 600 คน

นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุน สสส. ระบุว่า การประกวดปี 2568 ยังคงมุ่งพัฒนา 3 ด้าน 1.สนับสนุนนวัตกรรุ่นใหม่ ในการสร้างนวัตกรรมแก้ปัญหาสุขภาพของสังคมที่ใช้งานได้จริง 2.พัฒนาศักยภาพนวัตกร ให้มีทักษะการพัฒนาต้นแบบนวัตกรรมสุขภาพ และมีความพร้อมในการขยายผลเชิงพาณิชย์ 3.ส่งเสริมการประยุกต์ใช้แนวคิดการสร้างเสริมสุขภาพ ในการพัฒนาเครื่องมือ ผลิตภัณฑ์ กระบวนการ และพื้นที่ต้นแบบ ที่เชื่อมโยงความคิดสร้างสรรค์เข้ากับการป้องกันปัญหาสุขภาพ พร้อมยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม

 

นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุน สสส.
ทั้งนี้ นพ.พงศ์เทพ กล่าวว่า สิ่งหนึ่งในสิ่งที่พบคือ คนรุ่นใหม่จำนวนมาก อยากสร้างการเปลี่ยนแปลง แต่ไม่รู้จะเริ่มอย่างไร ทั้งขาดทุน ขาดโค้ช และไม่เข้าใจโครงสร้างปัญหาสุขภาพ การสร้างพื้นที่ให้เรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญและได้ทดลองทำจริง จึงช่วยให้เยาวชนมองเห็นปัญหาจากประสบการณ์ของคนในรุ่นเดียวกัน รวมถึงเข้าใจการแก้ปัญหาสุขภาพในระดับชุมชนมากขึ้น

“กิจกรรมนี้จึงพยายามทำให้พวกเขาเข้าใจปัญหาสุขภาวะอย่างถูกต้อง มองเห็นประเด็นที่ต้องแก้ไข พร้อมทั้งดึงศักยภาพของคนรุ่นเดียวกันออกมา เพราะพวกเขาเข้าใจปัญหาของเพื่อนร่วมวัยได้ดีที่สุด เมื่อมีโค้ชและงบประมาณสนับสนุนให้ทดลองทำจริง ก็จะช่วยผลักดันให้เกิดนวัตกรรมใหม่ ๆ ด้านการสร้างเสริมสุขภาพ”

“เราต้องการเห็นเยาวชนและประชาชนไทยมีความคิดสร้างสรรค์ และเชื่อมั่นว่า ตัวเองสามารถเปลี่ยนแปลงประเทศได้ โดยเฉพาะในยุคที่มีเทคโนโลยีอย่าง AI และแอปพลิเคชันเข้ามาช่วย ทำให้เยาวชนสามารถสร้างสรรค์สิ่งใหม่ได้มากขึ้น ซึ่งจะช่วยยกระดับกระบวนการพัฒนาศักยภาพเด็กไทยไปพร้อมกัน”

“อีกสิ่งที่สำคัญคือ จิตอาสา ไม่ว่าจะเป็นคนรุ่นใหม่ ประชาชน หรือผู้สนใจ การมีใจอยากมีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงประเทศ โดยเฉพาะด้านการสร้างเสริมสุขภาพ คือพลังสำคัญที่จะขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงในระยะยาว”

สสส. ต่อยอดไอเดียเด็กไทยให้ไปไกลถึงชุมชน
ตลอดการดำเนินงานที่ผ่านมา สสส. ผลักดันนวัตกรรมกว่า 150 ชิ้น สู่การทดลองใช้จริง ไม่ว่าจะเป็น อุปกรณ์ฆ่าเชื้อ UV สำหรับหมวกนิรภัย และบอร์ดเกมพฤติกรรมสุขภาพในโรงเรียน อีกหลายชิ้นได้รับการประสานงานให้ขยายผลผ่านภาคธุรกิจหรือหน่วยงานรัฐ

ผู้จัดการกองทุน สสส. มองว่า “การขยายผล” คือหัวใจสำคัญของการทำงานในระยะต่อไป ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน เพื่อให้นวัตกรรมที่ดีเดินทางจากเวทีประกวดไปสู่การใช้งานจริงในพื้นที่ โดยเตรียมสร้างเครือข่ายครูและอาจารย์ในโรงเรียนมัธยม อาชีวศึกษา และมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ เพื่อเปิดโอกาสให้เยาวชนที่มีความคิดสร้างสรรค์สามารถส่งไอเดียเข้ามาได้ แม้ยังไม่มีทักษะด้านนวัตกรรมหรือทุน


“เราอยากเห็นว่า การขยายผลของโครงการนี้สามารถเข้าถึงเด็กและเยาวชนในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ ไม่ใช่เพียงเพื่อให้เกิดนวัตกรรมเท่านั้น แต่เพื่อส่งเสริมให้เด็กไทยมีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้นด้วย”

“ส่วนสำคัญของการขยายผล คือการมีเครือข่ายโค้ชในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นคุณครูหรืออาจารย์ในโรงเรียนมัธยมปลาย ครูสายวิทยาศาสตร์ ครูอาชีวศึกษา หรืออาจารย์ในมหาวิทยาลัย หากเด็กมีไอเดียสร้างสรรค์ และคุณครูสามารถทำหน้าที่เป็นโค้ชได้ ก็สามารถส่งแนวคิดเข้ามาเพื่อพิจารณาได้ หากแนวคิดมีศักยภาพ ก็จะได้รับงบประมาณหรือทุนสนับสนุนขนาดเล็ก เพื่อพัฒนาต่อยอดแนวคิดให้เป็นรูปธรรม”

“ดังนั้น การขยายผลที่แท้จริงจึงอยู่ที่การสร้างเครือข่ายครูและสถานศึกษาให้มากขึ้น เพื่อให้เข้าใจแนวคิดด้านนวัตกรรมสร้างเสริมสุขภาพ และสามารถนำไปใช้ต่อได้ในระยะยาว ที่ผ่านมา เมื่อครูท่านหนึ่งเข้าใจแนวทางแล้ว ก็สามารถถ่ายทอดต่อให้กับนักเรียนรุ่นใหม่ในแต่ละปี ทำหน้าที่เป็นโค้ช และช่วยผลักดันให้เกิดโครงการใหม่ ๆ ได้อย่างต่อเนื่อง”

“ผมมองว่า สิ่งนี้เป็น การสร้างผลลัพธ์สองต่อ คือทั้งการผลักดันให้นวัตกรรมด้านการสร้างเสริมสุขภาพเกิดขึ้นจริง และการปลูกฝังความคิดสร้างสรรค์ให้กับเด็กรุ่นใหม่ไปพร้อมกัน”

นพ.พงศ์เทพ ทิ้งท้ายว่า แนวคิดเรื่อง “สุขภาวะ” ในปัจจุบันครอบคลุมมากกว่ามิติสุขภาพกายและใจ แต่รวมถึงความปลอดภัย สภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการใช้ชีวิต การป้องกันความเสี่ยง และการเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ฉุกเฉินในอนาคตด้วย โดยมองว่า ประเด็นภัยพิบัติ เช่น ภาวะน้ำท่วม เป็นเรื่องที่ต้องผลักดันให้สังคมตระหนักและร่วมกันหาทางออกผ่านนวัตกรรมใหม่ ๆ
สสส. จึงต้องการกระตุ้นให้เด็ก เยาวชน และประชาชนทั่วไป เข้ามามีบทบาทในการคิดค้นและพัฒนาเครื่องมือหรือแนวทางใหม่ ๆ ทั้งด้านระบบเตือนภัย การทำความเข้าใจสถานการณ์ การบริหารจัดการ ไปจนถึงการฟื้นฟูหลังเกิดเหตุ เพื่อให้สังคมไทยมีความพร้อมและสามารถรับมือกับความเสี่ยงในอนาคตได้มากขึ้น

นวัตกรรมสร้างสุขภาพ “พลังจริง” ของคนรุ่นใหม่
ภายในงานมีทีมได้รับรางวัลการประกวดนวัตกรรมสร้างเสริมสุขภาพฯ ทั้งหมด 4 ประเภท ได้แก่ 1.ประเภทมัธยมศึกษาตอนปลาย ผลงานได้ที่รับรางวัลชนะเลิศอันดับ 1 คือ พื้นรองเท้าอัจฉริยะเพิ่มกิจกรรมทางกาย จากทีม GGroup ที่กระตุ้นให้วัยรุ่นลุกขึ้นขยับร่างกาย แก้ปัญหาการนั่งต่อเนื่องซึ่งพบว่า วัยรุ่นไทยนั่งเฉลี่ยวันละ 8 ชั่วโมง โดย G-Step จะเป็นการติดเซนเซอร์ในพื้นรองเท้า เชื่อมต่อแอปฯ บันทึกก้าวเดินและเปลี่ยนเป็นภารกิจในเกม ทั้งภารกิจประจำวัน เช่น เดินครบตามเป้าเพื่อรับเหรียญ และภารกิจผจญภัยที่ต้องเดินไปยังจุดต่าง ๆ ในเมืองผ่านระบบ GPS

 

ทีม GGroup - ชยกร ตั้งกิจเชี่ยวชาญ, กวินภพ ชินเมธีพิทักษ์
“ตอนแรกผมก็รู้สึกว่า เราอยากสร้างนวัตกรรมอะไรสักอย่างหนึ่งที่สามารถแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้ ซึ่งตอนนี้มันก็จะมีพวกนาฬิกาอะไรแบบนี้อยู่แล้วใช่ไหม แต่ผมลองคิดดูว่า อะไรที่มันติดตัวไปทุกที่ ลองจินตนาการดูครับว่า ก่อนที่ทุกคนจะออกจากบ้านต้องทำอะไร ก็คือต้องใส่รองเท้า เพราะฉะนั้น เราจะไปที่ไหน อยู่ที่ไหน ก็สามารถใช้ G-Step ได้ตลอด”

ภายใต้แนวคิดคือ “เปลี่ยนเมืองให้เป็นสนามเกมขนาดใหญ่” ทีมพัฒนากิจกรรมในแอปฯ เชื่อมต่อกับเซ็นเซอร์พื้นรองเท้า แบ่งเป็น 2 แบบ คือ ภารกิจรายวันและรายสัปดาห์ เช่น เดินครบก้าวหรือแข่งขันกับเพื่อน และภารกิจผจญภัยที่ต้องเดินไปยังจุดต่าง ๆ ในเมืองผ่าน GPS เช่น เช็กอินร้านค้า หรือถ่ายภาพตามสถานที่ต่าง ๆ นอกจากนี้ ผู้ใช้ยังสามารถขยับตัวละครในเกมเพื่อหลบสิ่งกีดขวาง ทำให้กิจกรรมประจำวันกลายเป็นผจญภัยสนุก ๆ

โดยทั้งคู่เล่าว่า ตัดสินใจเข้าร่วมการประกวดเพราะสนใจด้านนวัตกรรมและอยากพัฒนาโครงการที่ช่วยแก้ปัญหาสุขภาพของคนรุ่นใหม่ โดยหวังว่า งานต้นแบบจะถูกนำไปต่อยอดสู่การใช้งานจริง และร่วมมือกับภาคธุรกิจเพื่อขยายฟีเจอร์การเดินในเมืองให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น

อันดับ 2 บอร์ดเกม พิชิตโซเดียม จากทีม SMD Team Gen 3.1 อันดับ 3 สัตว์เลี้ยงเสมือนคลายเครียด จากทีม Digipal 


2.ประเภทอาชีวศึกษา รางวัลชนะเลิศอันดับ 1 คือ สติ๊กเกอร์กลิ่นบำบัดช่วยเลิกบุหรี่ไฟฟ้า จากทีม QuitUp โดยมีแนวคิดเริ่มต้นจากการเห็นเพื่อนและวัยรุ่นรอบตัวติดบุหรี่ไฟฟ้าจำนวนมาก จึงต้องการสร้างเครื่องมือที่ใช้ได้ง่ายและใช้งานได้ตลอดทั้งวันปล่อยกลิ่นพริกไทยดำ ลาเวนเดอร์ และเปปเปอร์มิ้นต์ นานกว่า 7 ชั่วโมง โดยมีข้อมูลสนับสนุนว่า กลิ่นเหล่านี้ช่วยลดความอยากนิโคตินและบรรเทาความเครียด

ซึ่งได้ทดสอบการใช้งานกับผู้สูบในสถานศึกษา พบว่า จำนวนครั้งในการสูบลดลงจากเฉลี่ยวันละ 15 ครั้ง เหลือ 7–8 ครั้งภายในสองสัปดาห์ ผลิตภัณฑ์ยังผ่านการตรวจสอบความปลอดภัยด้านเชื้อราจากห้องปฏิบัติการจังหวัดเชียงใหม่
ทีม QuitUp ระบุว่า การแข่งขันครั้งนี้เป็นประสบการณ์ครั้งแรก และมีแผนพัฒนาผลิตภัณฑ์พร้อมขยายการทดสอบสู่โรงเรียนและชุมชนในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ต่อไป

อันดับ 2 บอร์ดเกมฝึกการรับมือความเครียด จากทีมเด็กติดไฟ และอันดับ 3 น้องใจฟู LINE OA เพื่อนใจดิจิทัลสำหรับวัยรุ่น จากทีมน้องใจฟู
 

ทีม AiHUB - รุ่งโรจน์ กรุงเกษม
3.ประเภทประชาชนทั่วไป และสตาร์ทอัพ รางวัลชนะเลิศอันดับ 1 คือ ระบบเฝ้าระวังการขับขี่ด้วย AI และ IoT จากทีม AiHUB เพื่อตรวจจับพฤติกรรมเสี่ยงของผู้ขับขี่ เพื่อลดอุบัติเหตุบนท้องถนน หลังพบว่า ในแต่ละปีมีผู้เสียชีวิตกว่า 14,000 คน และมีเด็กกว่า 10,000 คน ต้องกลายเป็นเด็กกำพร้า พร้อมผู้บาดเจ็บและพิการกว่า 850,000 คน จากอุบัติเหตุที่ส่วนใหญ่เกิดจากพฤติกรรมเสี่ยง

ผู้พัฒนาระบบเผยว่า จากการศึกษาข้อมูลพบว่า 80% ของอุบัติเหตุ เกิดจาก 4 ปัจจัยหลัก ได้แก่ ขับเร็วเกินกำหนด หลับใน เมาแล้วขับ และ เล่นโทรศัพท์ จึงนำข้อมูลทั้งหมดมาสร้างระบบ AI ที่สามารถตรวจจับภาวะดังกล่าวผ่านกล้อง พร้อมแจ้งเตือนผู้ขับขี่แบบเรียลไทม์ และส่งข้อมูลเข้าสู่แดชบอร์ดให้ผู้ประกอบการติดตามพฤติกรรมพนักงานได้ทันที

“เราต้องการให้คนไทยกลับถึงบ้านอย่างปลอดภัยขึ้นอีกสักนิด” ผู้พัฒนาระบุ พร้อมสาธิตการทำงานของระบบที่สามารถรันได้บน มือถือ แท็บเล็ต โดยไม่ต้องติดตั้งอุปกรณ์ซับซ้อนเหมือนเวอร์ชันแรก และใช้งานควบคู่กับ Google Maps ได้ โดยระบบดังกล่าวผ่านการทดลองติดตั้งในรถขนส่งจังหวัดราชบุรีจำนวน 15 คัน พบว่า อุบัติเหตุจากที่เคยเกิดเฉลี่ย 10 ครั้งต่อปี ลดเหลือเพียง 1 ครั้ง

สำหรับแผนพัฒนาในอนาคต ทีมตั้งเป้าเพิ่มฟังก์ชัน ตรวจยืนยันตัวตนผู้ขับขี่ เพื่อป้องกันการนำรถไปใช้โดยผู้ไม่มีใบอนุญาต รวมถึงหารือกับหน่วยงานรัฐเพื่อพัฒนาระบบ ชะลอรถอัตโนมัติ เมื่อผู้ขับไม่ตอบสนอง ซึ่งอาจช่วยลดความสูญเสียได้มากขึ้น
อันดับ 2 รถไฟฟ้าดัดแปลงสำหรับวีลแชร์ จากทีม MoToJp และอันดับ 3 อุปกรณ์ทดสอบสมรรถนะปอดด้วย AI จากทีมซามูไรพร้อมจะแลนด์

 

บริษัท ไซด์คิก จำกัด
และสุดท้าย 4.ประเภทภาคีเครือข่าย สสส. ผู้ได้รับรางวัลเชิดชูเกียรติ คือ โครงการพัฒนานวัตกรรมเชิงกระบวนการเพื่อลดอคติและช่องว่างระหว่างวัย โดยบริษัท ไซด์คิก จำกัด และโรงเรียนสร้างเสริมสุขภาวะแบบทั้งระบบ โดยมูลนิธิแพททูเฮลท์

โดยได้พูดคุยกับหนึ่งในสองโครงการการที่ได้รับรางวัลอย่าง โครงการพัฒนานวัตกรรมเชิงกระบวนการเพื่อลดอคติและช่องว่างระหว่างวัย ซึ่งเป็นนวัตกรรมลดอคติระหว่างวัย (Age Bias / Ageism) หลังงานวิจัยชี้ประเทศในอาเซียนโดยเฉพาะไทย ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย เผชิญปัญหาความขัดแย้งข้ามเจเนอเรชันสูงที่สุดกลุ่มหนึ่งของโลก ส่งผลต่อสุขภาพจิต การทำงานร่วมกัน และศักยภาพสังคมในระยะยาว

โครงการดังกล่าวพัฒนาโมเดล A.L.M.O. ซึ่งประกอบด้วย A: Appreciate - ชื่นชมความพยายามของผู้อื่น มองเห็นคุณค่าในทุกก้าว L: Listen - ตั้งใจฟังและเปิดที่ให้ทุกความคิดเห็น M: Mistakes - กล้าเล่าความผิดพลาดของตนเพื่อสร้างการเรียนรู้ร่วม 0: Open ปลอดภัยให้แลกเปลี่ยนโดยไม่ตัดสิน จากงานวิจัยพบว่า คนที่เติบโตมาอย่างเปิดกว้าง มักเคยได้รับโอกาสทำกิจกรรมนอกห้องเรียน และได้พบผู้ใหญ่เชิงบวก ซึ่งเป็นผู้ใหญ่ที่เปิดกว้าง รับฟัง และสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้เด็กกล้าพูดคุย
“วิธีของเราคือเรามองย้อนกลับไปดูว่า คนที่เป็นที่ทุกคนอยากเข้าหา มีบุคลิกเปิดกว้างนั้นเป็นอย่างไร เราจึงสกัดลักษณะเหล่านั้นออกมาเป็นโมเดล A.L.M.O. พอได้บุคลิกเหล่านี้มา เราก็ย้อนดูว่า ทำไมพวกเขาถึงเป็นแบบนี้ พบว่าตอนเด็ก พวกเขาได้มีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมนอกห้องเรียน ได้เจอผู้ใหญ่ที่เปิดกว้าง ผ่านงานอดิเรกหรือกิจกรรมหลากหลาย สิ่งเหล่านี้ทำให้เมื่อเติบโต พวกเขามีความหลากหลายทางความคิด และอยากเปิดกว้างต่อผู้อื่นเช่นกัน”

พร้อมออกแบบกิจกรรมที่ให้เด็กได้พบผู้ใหญ่ที่มีบุคลิกแบบ A.L.M.O. โดยกิจกรรมมีตั้งแต่ ปีนต้นไม้ วาดภาพ สเก็ตช์ ถ่ายภาพ วิ่ง ไปจนถึงกลุ่มแฟนคลับ K-pop จุดสำคัญคือเด็กได้เจอ ผู้ใหญ่เชิงบวก ที่สร้างแรงบันดาลใจ และทำให้ทัศนคติของเด็กต่อผู้ใหญ่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน

โดยทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยมหิดลได้ติดตามเยาวชนต่อเนื่อง 7–8 เดือน พบว่า เด็กกลุ่มนี้เริ่มเปิดใจเข้าสังคมมากขึ้น กล้าเข้าหาผู้ใหญ่ที่ไม่เคยสื่อสารด้วยมาก่อน และสามารถรับมือความหลากหลายของคนในชีวิตจริงได้ดีขึ้น

ปัจจุบัน โครงการกำลังรวมเครือข่ายผู้จัดกิจกรรมกว่า 10–20 กลุ่ม พร้อมประสานความร่วมมือกับ กทม. เทศบาล และเอกชน เพื่อให้เด็กที่เข้าไม่ถึงกิจกรรมนอกห้องเรียนมีโอกาสเข้าร่วมในราคาย่อมเยาหรือฟรี

ทั้งนี้ สำหรับผู้สนใจสามารถติดตามผลงานทั้งหมดได้ที่เฟซบุ๊กแฟนเพจ “PM Health Promotion Inno Award”








กำลังโหลดความคิดเห็น