ประเทศไทยมีการผลิตกระป๋องอลูมิเนียมมากถึง 5 พันล้านกระป๋อง เพราะเป็นบรรจุภัณฑ์ยอดนิยมในการบรรจุอาหารและเครื่องดื่ม เนื่องจากอยู่ในสภาพที่ปิดสนิท เก็บได้นาน อีกทั้งยังมีน้ำหนักเบา พกพาง่าย และดีต่อการเก็บรักษา แต่หลายคนอาจกังวลว่าหลังใช้งานเสร็จทิ้งลงถังขยะแล้ว จะกลายเป็นขยะล้นโลกหรือไม่
ความจริงแล้วกระป๋องอลูมิเนียมเหล่านี้สามารถนำมารีไซเคิลวนลูปได้ไม่รู้จบ เนื่องจากเป็นวัสดุที่ไม่ได้ผสมวัสดุอื่นที่จำเป็นต้องแยกออกก่อนการรีไซเคิล และยังมีส่วนผสมจากวัสดุรีไซเคิล (Recycled Content) มากกว่า 70% ดังนั้น ยิ่งเก็บอลูมิเนียมมารีไซเคิลได้มากขึ้นเท่าไร ก็จะยิ่งลดพลังงานในการผลิตกระป๋องลงไปเรื่อยๆ
ยิ่งปัจจุบันท่ามกลางกระแสตื่นตัวจากภาวะ "โลกเดือด" และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทำให้หน่วยงานต่างๆ หันมาให้ความสำคัญกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ลดการใช้พลังงาน ในอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์อลูมิเนียมจึงมีการพัฒนาระบบการรีไซเคิลกระป๋องอะลูมิเนียมแบบสมบูรณ์ หรือ 100% (Close-Loop Recycling Aluminum) ผ่านโครงการ Can To Can Journey ซึ่งเป็นความร่วมมือของมูลนิธิการจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน (มูลนิธิ 3R) ที่ดูแลด้านสิ่งแวดล้อม โดยการส่งเสริมและสนับสนุนการดำเนินกิจกรรม โดยใช้หลักการ 3R คือ การลดการใช้ (Reduce) การเพิ่มการใช้ซ้ำ (Reuse) และการนำกลับมาใช้ใหม่ (Recycle) และบริษัทในอุตสาหกรรมการผลิตและรีไซเคิลอะลูมิเนียมตลอดทั้ง Value Chain
ล่าสุด ได้มีการจัดโครงการ Can To Can Journey 2025 ระหว่างวันที่ 21 - 22 ตุลาคม 2568 ซึ่งนับเป็นปีที่ 6 ของโครงการ เพื่อให้ความรู้ความเข้าใจในเส้นทางการไหลของบรรจุภัณฑ์อลูมิเนียม (Aluminum Loop) ตั้งแต่การผลิต การนำไปใช้ในกลุ่มผู้ผลิตสินค้า การรวบรวมและการรีไซเคิล เพื่อผลิตเป็นม้วนอลูมิเนียมและขึ้นรูปเป็นกระป๋องใบใหม่ (Closed-loop Recycling) แก่หน่วยงานภาครัฐ กลุ่มผู้ผลิตสินค้า (Brand Owner) ตลอดจนองค์กรที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นทางเลือกในการส่งเสริมการใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและเป็นข้อมูลในการกำหนดนโยบายการเก็บกลับบรรจุภัณฑ์อลูมิเนียมต่อไป
ตะลุยเส้นทาง Aluminium Loop
วงจรการหมุนเวียนของกระป๋องอลูมิเนียมตามหลัก Circular Economy ในการนำกลับมาใช้ใหม่ แบ่งได้เป็น 6 ส่วนสำคัญ เริ่มจาก
1.ผู้ผลิตกระป๋องอลูมิเนียม
ขอเริ่มต้นวงจรด้วยในส่วนของผู้ผลิตกระป๋องอลูมิเนียม ซึ่งในประเทศไทยมีบริษัท ไทยเบเวอร์เรจแคน จำกัด (TBC) เป็นผู้ผลิตกระป๋องอลูมิเนียมชั้นนำ ตั้งอยู่ที่ จ.สระบุรี มีสายการผลิตกระป๋อง 4 สาย และผลิตฝา 3 สายการผลิต มีกำลังการผลิตรวม 4,800 ล้านกระป๋องต่อปี และ 4,500 ล้านฝาต่อปี โดยเตรียมที่จะขยายสายการผลิตเพิ่มใน ม.ค. 2569
ทางตัวแทน TBC ระบุว่า บริษัทให้ความสำคัญและใส่ใจในความยั่งยืน จึงเข้าร่วมโครงการนี้ด้วย โดยย้ำว่ากระป๋องอลูมิเนียมนั้นดีต่อโลกและสิ่งแวดล้อม เพราะสามารถนำมารีไซเคิลได้ โดยได้กระป๋องอลูมิเนียมใบใหม่ที่คุณภาพคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง จึงพยายามผลิตกระป๋องอลูมิเนียมที่มีความหลากหลายตอบโจทย์ให้ลูกค้าได้เลือก เพื่อชักชวนให้ผู้ผลิตเครื่องดื่มบรรจุกระป๋องหันมาใช้กระป๋องอลูมิเนียมมากขึ้น รวมถึงมีการพัฒนาขวดอลูมิเนียมทั้งขนาด 310 ml และ 510 ml ที่จะตอบโจทย์มากขึ้น เพราะสามารถปิดฝากลับได้ นอกจากนี้ การผลิตกระป๋องอลูมิเนียมแบบ Closed-Loop Recycling ยังช่วยประหยัดพลังงานที่ใช้ถึง 95% และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 97% ซึ่งตั้งแต่เริ่มโปรแกรมจนถึงปัจจุบันสามารถช่วยเซฟคาร์บอนได้ถึง 9 พันตัน
2.ผู้ผลิตเครื่องดื่ม
หลังจากที่ผลิตกระป๋องอลูมิเนียมแล้ว ก็จะถูกส่งมายังลูกค้าคือผู้ผลิตเครื่องดื่มบรรจุกระป๋องต่างๆ โดยมีบริษัท ไทยน้ำทิพย์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) นับเป็นผู้ผลิตเครื่องดื่มรายใหญ่ของไทย เช่น โค้ก สไปรท์ แฟนต้า ชเวปส์ เอแอนด์ดับบลิว มินิทเมด สแปลช เป็นต้น ซึ่งได้เข้าร่วมโครงการนี้ด้วย
ทั้งนี้ ไทยน้ำทิพย์ มีโรงงานการผลิต 5 แห่ง โดยมีเพียงแห่งเดียวที่สามารถผลิตเครื่องดื่มบรรจุกระป๋องอลูมิเนียม คือ โรงงานจ.ปทุมธานี โดยสามารถผลิตได้ 2 พันกระป๋องต่อนาทีส่งกระจายสินค้าครอบคลุมทั้งประเทศ ซึ่งการผลิตจะได้รับกระป๋องที่ส่งมาจาก TBC ทุกชั่วโมง จากนั้นจะเข้าเครื่องโรบอตในการจ่ายกระป๋องเข้าไลน์ มีการล้างทำความสะอาดข้างในกระป๋องในลักษณะคว่ำกระป๋อง ก่อนที่จะหงายกลับมาเพื่อเติมเครื่องดื่มต่างๆ ตามสูตร แล้วไปผ่านตัวปิดฝากระป๋อง ซึ่งความที่ไฮสปีด 2 พันกระป๋องต่อนาที การปิดต้องแม่นยำมาก มิเช่นนั้นกระป๋องจะยับหรือเสียรูป
จากนั้นจะมีการเอกซเรย์ว่าระดับน้ำในบรรจุภัณฑ์ได้ปริมาณหรือไม่ ผ่านการเพิ่มอุณหภูมิจาก 12 องศาเซลเซียส ให้สูงเท่าอุณหภูมิห้อง กำจัดน้ำที่เกาะข้างกระป๋อง ก่อนยิงเบสโค้ดใต้กระป๋อง จากนั้นเข้ากระบวนการแพ็ค แบ่งออกเป็น 2 สาย คือ แบบมัลติแพ็ก คือ 6 กระป๋องต่อแพ็ค และแบบ 24 กระป๋องต่อถาด
การผลิตสินค้าต่างๆ เน้นความยั่งยืนและดูแลสิ่งแวดล้อม อย่างเรื่องแพคเกจจิ้ง ก็พยายามใช้ทรัพยากรให้น้อยที่สุดโดยไม่ลดคุณภาพสินค้า เช่น ขวดโค้กใช้พลาสติก 38 กรัมก็ลดให้น้อยลงเหลือ 34 กรัม คิดค้นคอขวดให้สั้นลง ตัวฝาจะใช้เม็ดพลาสติกน้อยลง หรือขวดน้ำดื่มน้ำทิพย์เราตั้งใจลดพลาสติดจาก 16.5 กรัมเหลือ 10.7 กรัม คิดว่าเป็นขวดน้ำที่เบาที่สุดในไทย หรือการรีดีไซน์ Clear PET เปลี่ยนขวดสไปรท์จากสีเขียวเป็นสีใส เพื่อเพิ่มความสามารถในการรีไซเคิล เพราะขวด PET ใสได้ราคามากที่สุด หรือลดความหนาของกระป๋องลงตอนนี้เหลือ 0.24mm ทำให้ลดพลังงานการผลิตจากผลิต 7 วันเหลือ 6 วัน ลดการใช้ Paper Tray เพื่อลดการใช้กระดาษ และพลาสติดที่ใช้แร็พก็ลดความหนาลงเป็น 45 ไมครอน
นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับการเก็บกลับมารีไซเคิลให้ได้มากที่สุด โดยร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ต่างๆ เช่น ร่วมมือกับลูกค้าตั้งจุดรีไซเคิลดรอปพอยท์เพื่อส่งกลับมารีไซเคิล เช่น โลตัส บิ๊กซี รวมถึงร้านอาหาร เพื่อรับขวด PET กระป๋องอลูมิเนียม เป็นการปิดลูปรีไซเคิล
3.ผู้บริโภค
หลังจากผลิตเครื่องดื่มบรรจุกระป๋องอลูมิเนียมมีการกระจายสินค้าไปขาย ก็ตกมาถึงมือของผู้บริโภค สิ่งสำคัญสำหรับผู้บริโภคคือหลังบริโภคเสร็จก่อนทิ้งควรที่จะต้องมีการคัดแยกขยะ เพื่อนำมารีไซเคิลได้ โดยผู้บริโภคสามารถเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการรีไซเคิลกระป๋องอลูมิเนียมได้ โดยล้างกระป๋องให้สะอาดหลังบริโภคหมดแล้ว คว่ำให้แห้ง แล้วบีบให้แบนเพื่อประหยัดพื้นที่ในการจัดเก็บและขนส่ง ก่อนจะนำไปทิ้งที่ถังขยะรีไซเคิล หรือจะขายให้ซาเล้งหรือร้านรับซื้อของเก่า นอกจากนี้ ยังนำไปบริจาคตามจุดรับบริจาคต่างๆ ได้ด้วย
4.ผู้รวบรวม
ขั้นตอนต่อมาจะเป็นส่วนของการเก็บกลับบรรจุภัณฑ์ โดยมีบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ รีไซเคิล จำกัด (TBR) เข้าร่วมในกระบวนการนี้ มีหน้าที่บริหารจัดการซัพพลายเชนบรรจุภัณฑ์ประเภทขวดแก้วที่ใช้ในกระบวนการผลิตของกลุ่มโรงงานในเครือไทยเบฟ และบริหารจัดการบรรจุภัณฑ์หลังการบริโภค ด้านการเก็บกลับ การคัดแยก โดยเฉพาะบรรจุภัณฑ์หลักของกลุ่มประเภทแก้ว กระดาษ กระป๋องอลูมิเนียม และขวดพลาสติก PET และวัสดุพลอยได้จากกระบวนการคัดแยก
การดำเนินการของ TBR มีสาขาหลัก 32 แห่งทั่วประเทศ โดยเป็นศูนย์เก็บกลับบรรจุภัณฑ์ เพื่อรีไซเคิล 12 แห่ง และมีส่วนโรงงานแปรรูปเศษแก้วเป็นวัตถุดิบ 5 แห่ง
สำหรับกระบวนการเก็บกลับนั้น ทาง TBR ระบุว่า ขยะกระป๋องอลูมิเนียมกลับมาผ่าน 3 ช่องทาง คือ 1.ผู้บริโภคต้องจัดการขยะตั้งแต่ต้นทางด้วยตนเอง โดยคัดแยกให้ดีและส่งขายก็จะมายังร้านรับซื้อของเก่า 2.ซาเล้งเก็บบรรจุภัณฑ์ที่ไม่ได้คัดแยก แล้วส่งมายังร้านรับซื้อของเก่า เพื่อแยกวัสดุรีไซเคิลเอาไปขายสร้างรายได้ ซึ่งราคารับซื้อกระป๋องอลูมิเนียมอยู่ที่กิโลกรัมละ 50-60 บาท และ 3.รถขยะ ซึ่งหากแยกไม่ทันก็จะตรงไปยังบ่อขยะ
TBR มีการรับกระป๋องอลูมิเนียมจากทางร้านรับซื้อของเก่าที่รวบรวมและคัดแยกเบื้องต้นไว้แล้ว เพื่อคัดแยกตัวสิ่งปนเปื้อนอื่นๆ ออกให้หมดเพื่อให้ได้วัตถุดิบที่ดีในการผลิตใหม่ ซึ่งยิ่งเก็บกลับได้มากเท่าไร ก็ลดการใช้ทรัพยากรได้มากเท่านั้น นอกจากนี้ ยังมีการทำโครงการเก็บกลับ-รีไซเคิล เพื่อสร้างตระหนักรู้ ชักชวนให้ลงมือทำ และสร้างรายได้หรือสร้างประโยชน์การแบ่งปัน โดยมีการเวิร์กช้อปผู้บริโภคเพื่อให้ความรู้มากกว่า 300 โครงการ มีอาคารที่เข้าร่วม 37 อาคาร และ 2 ชุมชนต้นแบบ
รวมถึงมีการใช้ OK Recycle Application เป็นตัวกลางระหว่างผู้เก็บวัสดุและผู้รับวัสดุที่มีเครือข่ายจุด Drop-off กว่า 300 แห่งทั่วประเทศ มีเป้าหมายเก็บกลับให้ได้ 100% ในปี 2030 แต่ปี 2025 เราสามารถเก็บกลับเกิน 100% แล้ว โดยสามารถเก็บกลับบรรจุภัณฑ์ 937,739 กิโลกรัม ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 974,712 กิโลกรัม เทีบเท่าการปลูกต้นไม้ 108,301 ต้น
5.โรงงานรีไซเคิล
หลังจากรับซื้อรวบรวมอลูมิเนียมแล้วก็จะเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิล ซึ่งในส่วนนี้มี Anglo Asia Group กลุ่มบริษัทผู้นำทางด้านการรับซื้อ ประมูล ซื้อขายอลูมิเนียมอินกอต แท่งอลูมิเนียมและเศษชิ้นงานโลหะทุกชนิดพร้อม รับกำจัดบำบัดเศษอลูมิเนียมและรีไซเคิลอลูมิเนียม โดยในประเทศไทยได้ก่อตั้งบริษัท สยาม เซอร์วิส แอนด์ คอนซัลแทนซี่ จำกัด ที่ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี เพื่อผลิตและจำหน่ายอลูมิเนียมผสม (Aluminium Alloy) และให้บริการรีไซเคิลเศษกระป๋องอลูมิเนียม โดยสามารถรีไซเคิลได้ประมาณ 6 หมื่นตันต่อปี และตั้งเป้าขยายให้เป็น 1 แสนตันต่อปี
กระบวนการในการรีไซเคิลนั้น จะได้รับเศษอลูมิเนียมที่บีบอัดมาเป็นก้อน มีการตรวจเช็กว่าไม่มีสิ่งปนเปื้อน จากนั้นจะเข้าสู่ 3 ไลน์การผลิต โดยเข้าเครื่องสับหยาบและสับละเอียด โดยจะมีการผ่านสายพานเพื่อดึงดูดส่วนที่เป็นเหล็กออกมาด้วย จากนั้นเข้าสู่กระบวนการเผาเพื่อขจัดสีประมาณ 400-450 องศาเซลเซียส และมีการดูดควันเพื่อนำไปทดแทนแก๊ส LPG ในการเผาเพื่อลดการใช้พลังงาน จากนั้นเข้าสู่กระบวนการเพิ่มความหนาแน่นเพื่อเอาเขม่าที่ติดกับอลูมิเนียมออกและช่วยประหยัดค่าขนส่ง โดยจะผ่านเครื่องแยกเหล็กก่อนเข้าเครื่องบดเพื่อให้ได้เป็นลูกบอล โดยจะมี 2 ไซส์คือบิ๊กบอล ซึ่งจะเข้าเครื่องบีบอัดให้กลายเป็นเหรียญ และสมอลบอลที่จะอักเป็นแท่งแท็บเล็ต แล้วส่งต่อไปยังส่วนของการหลอมต่อไป
6.ผู้แปรรูปวัตถุดิบ
ส่วนสุดท้ายคือการหลอมอลูมิเนียมที่รีไซเคิลเพื่อให้ได้อลูมิเนียมที่นำกลับมาใช้ใหม่ โดยในส่วนนี้มี UACJ (Thailand) Co.,Ltd. เป็นผู้รับผิดชอบ ตั้งอยู่ที่ จ.ระยอง มีพื้นที่ขนาด 5 แสนตารางเมตร กำลังการผลิต 320,000 ตันต่อปี โดยหลังจากรับอลูมิเนียมที่รีไซเคิลมาแล้วจะเข้าสู่การหลอม โดยเตาหลอมมีขนาดใหญ่ความจุ 110 ตัน จากนั้นจึงหล่ออลูมิเนียมเป็นแท่งสแลบขนาดประมาณยาว 10 เมตร กว้าง 2 เมตร และหนา 50 เซนติเมตร
จากนั้นจะเข้าสู่กระบวนการรีดร้อน โดยจะรีดหยาบก่อนเป็นการรีดกลับไปกลับมา เพื่อให้ความยาวจาก 10 เมตรเป็น 170 เมตร และความหนาลดลงเหลือ 3 เซนติเมตร รีดร้อนละเอียดเพื่อม้วนเป็นคอยล์ร้อน พักเป่าให้เย็นลง จึงต่อด้วยการรีดเย็น ซึ่งการรีดเย็นมีความกว้างสูงสุด 2,250 มิลลิเมตร ความเร็วสูงสุด 2,000 เมตรต่อนาที หรือประมาณ 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และม้วนให้เป็นคอยล์เย็น จึงข้าสู่การตกแต่งพื้นผิวขั้นสุดท้าย คือการ Coating ซึ่งจะมีการเคลือบสารหรือสีตามที่ลูกค้าต้องการ เช่น นำไปทำเป็นวัสดุแลกเปลี่ยนความร้อนสำหรับรถยนต์ หรือวัสดุแลกเปลี่ยนความร้อนสำหรับเครื่องปรับอากาศ หรือวัตถุดิบสำหรับกระป๋องก็จะเข้าสู่ลูปของการผลิตกระป๋องอลูมิเนียมต่อไป
นอกจากนี้ ยังพัฒนาการทำขวดอลูมิเนียมและฝาขวดให้เป็นอลูมิเนียมอัลลอยด์ชนิดเดียวกัน เพื่อให้สามารถนำมาใช้รีไซเคิลร่วมกันได้ในอนาคต ซึ่งในส่วนนี้กำลังจะเข้าสู่ตลาดในอีกไม่นาน ก็จะทำให้การรีไซเคิลในอนาคตเป็นอาจเป็น 100% ได้
ทั้งหมดคือเส้นทางการไหลของกระป๋องอลูมิเนียมตั้งแต่การผลิต ไปจนถึงการรีไซเคิลจนนำกลับมาสู่การผลิตใหม่ ซึ่งสามารถวนลูปซ้ำไปมาได้ไม่รู้จบ นับเป็นอีกกระบวนการที่ช่วยลดการใช้พลังงาน ลดปัญหาขยะหากมีการคัดแยกขยะอย่างถูกต้อง ช่วยสร้างรายได้ให้แก่ผู้เก็บขยะ และสร้างความยั่งยืนในเรื่องของการดูแลสิ่งแวดล้อม


