กรมการแพทย์ โดยสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี แนะการส่งเสริมพัฒนาการเด็กอย่างเหมาะสมจะสร้างรากฐานชีวิตที่มั่นคงทั้งทางสมอง ร่างกาย จิตใจ และสังคม โดยเฉพาะทักษะการทำงานของสมองส่วนหน้าหรือ Executive Function ซึ่งประกอบด้วยความสามารถในการควบคุมตนเอง การวางแผน การแก้ปัญหา และจัดการอารมณ์ที่จะนำไปสู่ความสำเร็จในชีวิต
นายแพทย์ธนินทร์ เวชชาภินันท์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า หลักการสำคัญสำหรับทุกช่วงวัย ผู้ปกครองควรเป็นแบบอย่างที่ดีในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นการทำงานบ้าน การอ่านหนังสือ การออกกำลังกาย และการมีน้ำใจต่อผู้อื่น เมื่อเด็กเห็นผู้ปกครองปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ พวกเขาจะเรียนรู้และทำตามโดยธรรมชาติ การให้คำชมเชยเมื่อเด็กทำงานสำเร็จ แม้ไม่สมบูรณ์แบบจะสามารถสร้างแรงจูงใจ ผู้ปกครองควรสอนให้เด็กเข้าใจว่าความผิดพลาดเป็นโอกาสในการเรียนรู้ ไม่ใช่ความล้มเหลว ที่สำคัญที่สุดคือ การปรับความคาดหวังให้เหมาะสมกับวัยและความสามารถของเด็กแต่ละคน การส่งเสริมพัฒนาการที่ดีต้องอาศัยความสม่ำเสมอ ความอดทน และความเข้าใจในความต้องการที่แท้จริงของเด็กจากผู้ปกครอง การฟังเสียงของลูกและให้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจเกี่ยวกับชีวิตของตนเองจะช่วยสร้างความรับผิดชอบและความเป็นตัวของตัวเอง ซึ่งเป็นทักษะสำคัญที่จะนำไปสู่ความสำเร็จในชีวิต
นายแพทย์อาคม ชัยวีระวัฒนะ ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กล่าวเพิ่มเติมว่า วัยอนุบาล (3-6 ปี) รากฐานทักษะชีวิตผ่านการเล่นและงานบ้าน เด็กวัยนี้เรียนรู้ดีที่สุดผ่านการลงมือทำในชีวิตประจำวัน ผู้ปกครองควรมอบหมายงานบ้านง่าย ๆ เช่น เก็บของเล่นใส่กล่อง พับผ้าเช็ดตัว แยกเสื้อผ้าใช้แล้วใส่ตะกร้า รดน้ำต้นไม้ และช่วยเช็ดโต๊ะหลังอาหาร เพื่อสอนความรับผิดชอบ และลำดับขั้นตอนการทำงาน กิจกรรมที่ส่งเสริมพัฒนาการประกอบด้วย การเล่นบทบาทสมมติเพื่อพัฒนาจินตนาการ เล่นเกมที่มีกติกาง่าย ๆ อย่างซ่อนหา หรือเกมกระดาน เพื่อฝึกการรอคอยและเคารพกติกา การวาดภาพระบายสีเพื่อพัฒนากล้ามเนื้อมือและสมาธิ การอ่านนิทานให้ลูกฟังสม่ำเสมอจะพัฒนาความสัมพันธ์และทักษะภาษา ควรสอดแทรกการนับเลข จำสี รูปทรงผ่านกิจกรรมประจำวัน เช่น นับขนมในจานหรือแยกสีถุงเท้าอย่างเป็นธรรมชาติ การออกกำลังกายทุกวันอย่างน้อย 30 นาทีผ่านการวิ่งเล่น กระโดด หรือเต้นตามเพลงจะพัฒนาการเคลื่อนไหวและสุขภาพ ผู้ปกครองควรจำกัดเวลาหน้าจอไม่เกิน 30 นาทีต่อวันและควรดูร่วมกันโดยเลือกเนื้อหาที่มีคุณภาพ
วัยประถม (7-12 ปี) ปลูกฝังวินัยและความเพียรพยายาม เด็กวัยนี้พร้อมรับงานที่ท้าทายมากขึ้น งานบ้านที่เหมาะสมได้แก่ เก็บที่นอนทุกเช้า จัดการห้องหรือมุมของตนเอง ล้างจานชามหลังรับประทานอาหาร ตากผ้าและเก็บผ้าเข้าตู้ กวาดถูบ้าน ช่วยทำอาหารง่าย ๆ ดูแลน้องหรือสัตว์เลี้ยง และทำรายการรายรับ-รายจ่ายประจำสัปดาห์ เพื่อสอนการวางแผน บริหารเวลา และสร้างความมั่นใจ ในช่วงปิดเทอมผู้ปกครองควรให้เด็กทบทวนวิชาการพื้นฐาน เช่น คณิตศาสตร์และภาษาตามความเหมาะสม การอ่านหนังสือตามความสนใจ 30 นาทีต่อวัน โดยเฉพาะช่วงก่อนนอนจะพัฒนาทักษะภาษาและจินตนาการ กิจกรรมที่ใช้เวลาหลายวัน เช่น การปลูกผักสวนครัวหรือประดิษฐ์ของใช้จากวัสดุเหลือใช้จะฝึกความอดทนและความเพียรพยายาม การออกกำลังกาย 1 ชั่วโมงต่อวันจะฝึกการตั้งเป้าหมายและวินัย การเข้าร่วมกิจกรรมอาสาตามความสนใจจะปลูกฝังน้ำใจและความรับผิดชอบต่อสังคม สำหรับการเรียนพิเศษผู้ปกครองควรพิจารณาอย่างรอบคอบให้เหมาะสมกับบริบทของลูก หากผลการเรียนในโรงเรียนอยู่ในเกณฑ์ดี การเรียนพิเศษอาจไม่จำเป็น สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องนั่งคุยกับลูกว่ารู้สึกอย่างไรกับการเรียนและต้องการความช่วยเหลือหรือไม่ หากต้องการส่งเสริมทักษะพิเศษควรเลือกตามความสนใจและความถนัดของเด็กเป็นหลักเพื่อสร้างแรงจูงใจในการเรียนรู้
วัยรุ่นมัธยม (13-18 ปี) พัฒนาความเป็นอิสระและความรับผิดชอบ วัยรุ่นต้องการความเป็นอิสระมากขึ้นแต่ยังต้องการคำแนะนำ ผู้ปกครองควรให้โอกาสตัดสินใจและรับผิดชอบผลที่ตามมา งานบ้านที่เหมาะสมได้แก่ การทำอาหารเมนูโปรด ซักและพับผ้าของตนเองทั้งหมด ซื้อของตามรายการ วางแผนและจัดการงบประมาณส่วนตัว ทำความสะอาดบ้าน และช่วยดูแลผู้สูงอายุในบ้านเพื่อสอนความรับผิดชอบต่อครอบครัวและสังคม กิจกรรมที่ท้าทายความคิดประกอบด้วยการอ่านหนังสือที่หลากหลายเพื่อพัฒนาการคิดวิเคราะห์ ในช่วงปิดเทอมผู้ปกครองควรสนับสนุนให้ทบทวนวิชาการตามความเหมาะสม การทำโครงงานเพื่อฝึกบริหารจัดการและแก้ปัญหา การเข้าร่วมกิจกรรมอาสาสมัครอย่างต่อเนื่องจะให้ประสบการณ์การทำงานจริง การเรียนพิเศษในวัยนี้ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ แม้การแข่งขันสอบเข้ามหาวิทยาลัยจะสูง แต่การเรียนพิเศษมากเกินไปจะสร้างความเครียดและส่งผลเสียต่อสุขภาพจิต สิ่งสำคัญที่สุด คือการนั่งคุยกับลูกอย่างจริงจังว่าต้องการอะไร มีเป้าหมายและแผนอย่างไร ผู้ปกครองเป็นผู้สนับสนุนให้ดำเนินการไปตามแผนการที่วัยรุ่นเป็นผู้ริเริ่มและลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง เพียงเท่านี้ก็จะเป็นการปิดเทอมสั้น ที่ไม่น่าเบื่ออีกต่อไป


