โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ (SiPH) เดินหน้าขยายพื้นที่หอผู้ป่วยวิกฤต เพิ่มเป็น 5 ยูนิต รวมทั้งสิ้น 92 เตียง เพื่อมอบโอกาสในการรอดชีวิตให้แก่ผู้ป่วยวิกฤตที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง พร้อมนำนวัตกรรม SMART ICU เข้ามาเสริมศักยภาพด้านการรักษา ช่วยลดภาระงานของบุคลากรทางการแพทย์ และเพิ่มเวลาในการดูแลผู้ป่วยได้อย่างใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น โดยเชื่อมั่นว่าการดูแลรักษาด้วยความเข้าใจในจิตใจของผู้ป่วยและครอบครัว เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยส่งเสริมการฟื้นตัวได้รวดเร็วขึ้น
รศ.นพ.สุนัย ลีวันแสงทอง รองผู้อำนวยการสายการแพทย์ โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ (SiPH) ภายใต้การกำกับดูแลของคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล เปิดเผยว่า ปัจจุบันประเทศไทยได้เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ กลุ่มผู้สูงอายุที่เข้ามารับการรักษามีอายุเฉลี่ยมากกว่า 90 ปี และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังพบปัญหาโรคร่วมและโรคซ้ำซ้อนที่มีความซับซ้อนต่อการวินิจฉัยและการรักษามากขึ้น ซึ่งทำให้ผู้ป่วยกลุ่มนี้มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะวิกฤตที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต ส่งผลให้ความต้องการด้านบริการทางการแพทย์เพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย
ผศ.พญ.ศรีสกุล จิรกาญจนากร ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์เฉพาะทาง (ผู้ป่วยวิกฤต) กล่าวว่า ตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ พร้อมรองรับจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มผู้ป่วยวิกฤต ด้วยการเพิ่มจำนวนเตียง ICU อีก 17 เตียง เพื่อให้สามารถดูแลผู้ป่วยได้อย่างทันท่วงทีและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ โรงพยาบาลยังได้นำเทคโนโลยีทางการแพทย์ SMART ICU เข้ามาใช้ในการวิเคราะห์และประมวลผลข้อมูลผู้ป่วยแบบเรียลไทม์ เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจของทีมแพทย์ได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว อีกทั้งยังช่วยลดภาระงานของพยาบาล ทำให้บุคลากรทางการแพทย์สามารถทุ่มเทเวลาในการดูแลผู้ป่วยได้อย่างใกล้ชิดมากขึ้น
การเพิ่มโอกาสการรอดชีวิตของผู้ป่วยกลุ่มวิกฤต ไม่ได้เกิดจากเพียงการขยายจำนวนเตียง ICU หรือการเสริมเทคโนโลยีทางการแพทย์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงการดูแลรักษาโดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ พยาบาลเฉพาะทางด้านผู้ป่วยวิกฤต และบุคลากรสหสาขาวิชาชีพ เช่น เภสัชกร นักกำหนดอาหาร นักกายภาพบำบัด และทีมสนับสนุนทางการแพทย์ ซึ่งร่วมกันดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด
โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ (SiPH) ตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลแบบองค์รวมที่ไม่เพียงมุ่งเน้นด้านร่างกายเท่านั้น แต่ยังให้ความสำคัญกับจิตใจของผู้ป่วยและครอบครัวควบคู่กันไป การสื่อสารอย่างชัดเจนและเข้าใจซึ่งกันและกันเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยลดช่องว่าง (Communication Gap) ระหว่างโรงพยาบาลกับผู้ป่วยและครอบครัว ทำให้ทุกฝ่ายเข้าใจแนวทางการรักษา สามารถติดตามกระบวนการดูแล และมีส่วนร่วมในการตัดสินใจเกี่ยวกับการรักษาได้อย่างเต็มที่ ส่งผลให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและสามารถกลับไปใช้ชีวิตกับครอบครัวได้อย่างมีคุณภาพ
นอกจากนี้ การให้ความสำคัญกับการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพยังช่วยเสริมสร้างความร่วมมือภายในทีมแพทย์ พยาบาล สหสาขาวิชาชีพ และบุคลากรของโรงพยาบาล ทำให้การทำงานร่วมกันเกิดประสิทธิภาพสูงสุด และนำไปสู่การดูแลผู้ป่วยที่รอบด้านและยั่งยืน
ในอนาคตได้มีการเตรียมความพร้อมขยายจำนวนเตียงสำหรับการดูแลผู้ป่วยกึ่งวิกฤต รองรับผู้ป่วยที่ผ่านพ้นวิกฤตจากหอผู้ป่วย ICU แต่ยังต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดจากทีมแพทย์และพยาบาลเฉพาะทาง ซึ่งญาติสามารถเฝ้าผู้ป่วยได้เหมือนกับหอผู้ป่วยปกติ จึงทำให้สามารถให้การรักษาพยาบาลได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ควบคู่ไปกับการเอื้อให้ครอบครัวมีส่วนร่วมในการดูแลผู้ป่วยได้อย่างใกล้ชิดตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งจะช่วยสร้างกำลังใจให้การฟื้นตัวของผู้ป่วยให้ดีขึ้นตามลำดับ