ยังคงน่าเป็นห่วง! สถานการณ์ยาเสพติดในประเทศไทยลุกลามไม่หยุด ล่าสุด ข้อมูลจากงานวิจัยประมาณการจำนวนประชากรผู้ใช้สารเสพติดของไทย ปี 2568 โดยศูนย์วิทยาการสารเสพติด คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล ระบุว่า คนไทยใช้กระท่อม 1.9 ล้านคน ใช้สารเสพติด 1.6 ล้านคน ใช้กัญชา 1.5 ล้านคน ใช้ยาบ้า 1.5 ล้านคน มีผู้ที่ควรเข้ารับการบำบัด 330,000 คน และมีปัญหาสุขภาพจิต 220,000 คน
ยิ่งไปกว่านั้น ข้อมูลในปี 2567 บ่งชี้ว่า มีผู้ใช้สารผสมหลายชนิดปนกันอีกกว่า 21,000 คน ซึ่งเป็นกลุ่มใหม่ที่มีความเสี่ยงสูงที่ต้องได้รับการบำบัดรักษาเฉพาะเจาะจง เพราะมีแนวโน้มที่จะเผชิญกับภาวะแทรกซ้อนทางสุขภาพที่รุนแรง และยากต่อการจัดการผลกระทบจากสารเสพติดหลายชนิดที่ทำปฏิกิริยาต่อกัน
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางสมรภูมิยาเสพติด ก็ยังมีคนที่เคยเลี้ยวทางผิดจำนวนไม่น้อยสามารถพาตัวเองหลุดพ้นจากวงจรของยานรกได้ และเนื่องในวันต่อต้านยาเสพติดโลก ซึ่งตรงกับวันที่ 26 มิ.ย.2568 ของทุกปี ที่ทั้งโลกส่งเสียงพร้อมเพรียงกัน เตือนถึงภยันตรายของยาเสพติด ที่เมืองไทยของเราเองก็มีกิจกรรมเสวนา “บทเรียนชุมชน-คนชนะใจ สู้ภัยยาเสพติด” ที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร โดยความร่วมมือระหว่างมูลนิธิศูนย์วิชาการสารเสพติด , มูลนิธิเด็กเยาวชนและครอบครัว , มูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคม , เครือข่ายองค์กรงดเหล้า มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล และ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
ภายในงาน นอกจากจะมีการอ่านอ่านแถลงการณ์ เนื่องในวันต่อต้านยาเสพติดโลก (26 มิถุนายน 2568) พร้อมทั้งข้อเสนอ 3 ข้อที่น่าสนใจ ยังมีไฮไลต์สำคัญที่มีการนำตัวอย่างของคนใจกล้าที่สามารถเอาชนะใจตัวเองจนหลุดพ้นจากวงจรยาเสพติดมาแชร์ประสบการณ์และบทเรียนที่มีคุณค่าเพื่อให้คนอื่นได้ตระหนักรู้ถึงอันตรายของยาเสพติดและเป็นอนุสติเตือนใจไม่ให้ถลำล่วงสู่บ่วงแห่งยานรกนั้น รวมทั้งสื่อสะท้อนถึงพลังการทำงานของชุมชนที่มีส่วนอย่างสำคัญในการช่วยเหลือคนที่เคยก้าวพลาดให้กลับมามีชีวิตที่ดีอีกครั้งหนึ่ง...
เพราะ ‘กฎหมาย’ เพียว ๆ ไม่ใช่คำตอบ
แต่ต้องขับเคลื่อนทุกองคาพยพ เพื่อสยบปัญหายาเสพติด
ที่ผ่านมา เราจะเห็นข่าวการจับกุมผู้ค้าและผู้เสพปรากฎอยู่ไม่ขาด อย่างไรก็ตาม แม้จะจับกุมได้มากแค่ไหน แต่ก็ยังมีล็อตใหม่ตามออกมาราวกับฝันร้ายที่หลอกหลอนไม่รู้จักจบจักสิ้น ขณะที่จำนวนผู้เสพรายใหม่ก็มีให้เห็นอย่างต่อเนื่อง นั่นเป็นเพราะอะไร? ใช่หรือไม่ว่า การใช้กฎหมายบังคับเพียงอย่างเดียว ไม่ใช่คำตอบ
ในมุมมองของดร.นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม รองผู้จัดการกองทุน สสส. เห็นว่า อันที่จริง การบังคับใช้กฎหมายยังคงเป็นมาตรการสำคัญ แต่ถึงอย่างนั้นก็ควรมีมาตรการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น การสร้างความตระหนักรู้ การสร้างชุมชนให้น่าอยู่ สร้างบรรยากาศและสิ่งแวดล้อมที่จะทำให้คนในชุมชนไม่หันไปใช้ยาเสพติด โดยที่ผ่านมา สสส. และภาคีเครือข่ายก็พยายามเดินหน้าส่งเสริมเรื่องนี้ให้มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“การทำงานเรื่องยาเสพติด ไม่ได้หมายความว่าเราต้องใช้มาตรการทางกฎหมายเข้าจับกุมและจองจำเพียงอย่างเดียว แต่ต้องดูในเชิงระบบและองค์รวม เช่น เขาเริ่มใช้ยาเสพติดตั้งแต่เมื่อไหร่ บ่อยครั้งเราพบว่า การใช้สารเสพติดที่เราคิดว่าไม่มีปัญหาอย่างเช่นบุหรี่ เหล้า ซึ่งเขาก็สูบและดื่มกันทั่วไป แต่นั่นและครับคือประตูด่านแรกที่จะนำไปสู่สิ่งเสพติดร้ายแรงชนิดอื่น ๆ มากขึ้นกว่าเดิม เพราะฉะนั้น ถ้าต้องการแก้ปัญหา เราต้องกลับไปดูตั้งแต่ต้นทาง ดูตั้งแต่เขาเป็นเด็ก ดูว่ามีปัจจัยอะไรที่เอื้อให้เขาต้องไปสูบบุหรี่ ดื่มสุรา เราจะได้จัดการตั้งแต่เบื้องต้นเพื่อเป็นการปิดประตูไม่ให้เขาเข้าไป หรือว่าถ้าเข้าไปแล้ว เราจะมีกระบวนการให้คำแนะนำในการเลิกได้อย่างไร ใครจะมีบทบาทสำคัญในด้านนี้ ซึ่งหน้าที่หลักไม่ใช่หมอ เพราะว่าหมอจะเป็นผู้รักษาที่ปลายเหตุ แต่คนที่จะช่วยดูได้จริง ๆ คือพ่อแม่ผู้ปกครอง ครูบาอาจารย์ หรือคนในชุมชน คนเหล่านี้จะมีบทบาทหน้าที่แตกต่างกันไป”
โดยตัวอย่างความสำเร็จจากการใช้มาตรการอื่น ๆ นอกจากบังคับใช้กฎหมาย สะท้อนให้เห็นอย่างเด่นชัดในงานกิจกรรมวันนี้ที่หลายคนหลุดพ้นจากขุมนรกยาเสพติดได้ด้วยพลังความตั้งใจที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง รวมทั้งการลุกขึ้นสู้ของชุมชน โดยมีองค์กรภาคีเครือข่ายเป็นกลไกเชื่อมประสานให้คนที่เคยก้าวพลาดให้ลุกขึ้นมา “มีชีวิตใหม่” อีกครั้งหนึ่ง พร้อมส่งต่อพลังและแบ่งปันบทเรียนชีวิต สร้างความเข้าใจ กระตุ้นสังคมให้ร่วมกันป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ไม่ให้เกิดผู้เสพรายใหม่ เพื่อนำไปสู่ครอบครัวและสังคมที่ปลอดภัย และสร้างพื้นที่แห่งโอกาส
“กิจกรรมในวันต่อต้านยาเสพติดสากล เป็นอีกหนึ่งหมุดหมายที่เรามาร่วมกันสร้างการตระหนักรู้เพื่อให้ทุก ๆ วันเป็นวันที่เอื้อต่อการที่เราจะไม่ต้องใช้ยาเสพติด เป็นชีวิตที่มีสุขภาวะที่ดี โดยไม่ต้องพึ่งพาสารเสพติด โดยมีตัวอย่างของคนที่กล้าลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงตัวเอง นอกจากนั้น เราก็อยากฟังเสียงสะท้อนของคนในชุมชนว่าเขาจะเสนอแนะหรือมีวิธีการแก้ปัญหาอย่างไร เพราะเราไม่ได้ต้องการแค่ให้เขาพูดถึงปัญหาว่ามีอะไรบ้าง แต่จะดีกว่าถ้าให้ทุกคนลุกขึ้นมาช่วยกันหาทางแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ รวมทั้งสร้างเครือข่ายและสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการไม่ต้องใช้ยาเสพติด เพื่อสร้างสังคมที่น่าอยู่ต่อไป” นพ.ไพโรจน์ กล่าวย้ำถึงความคาดหวัง
3 ข้อเสนอ บทเรียนแลกหัวใจ
ต้านวิกฤติจากภัยยาเสพติด
จากสถานการณ์ยาเสพติดเชิงสถิติในปัจจุบัน สะท้อนให้เห็นว่า ณ ตอนนี้ ผู้ที่เข้าสู่วงจรยาเสพติด ทั้งผู้ค้าและผู้เสพมีจำนวนที่เพิ่มขึ้น คำถามก็คือ ทำไมถึงเกิดขึ้น หรือจะเป็นไปได้ว่า การป้องกันปัญหาหรือนโยบายการป้องกันของประเทศไทยเราล้มเหลว?
นอกจากนั้น เด็กเยาวชนคนไทยทุกวันนี้เข้าสู่วงจรปัญหายาเสพติดเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนน่าเป็นห่วง โดยหนึ่งในปัจจัยหลักที่ผลักเด็กเยาวชนเหล่านั้น ปฏิเสธไม่ได้ว่าส่วนหนึ่งมาจากครอบครัว ชุมชน ซึ่งทำให้น้อง ๆ เหล่านั้นเข้าสู่วงจรปัญหา
นายวัชรพงศ์ พุ่มชื่น มูลนิธิศูนย์วิชาการสารเสพติด โยนคำถามสำคัญว่า ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราต้องช่วยกัน โดยเฉพาะพี่น้องชาวบ้านและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ต้องให้ความสำคัญกับเรื่องการป้องกันก่อนที่จะไปแก้ปัญหาที่ปลายน้ำซึ่งแก้ไม่ไหว แก้ไม่ทัน
ดังนั้น ในฐานะตัวแทนคนทำงานด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด และพี่น้องภาคีเครือข่ายที่ได้รับการสนับสนุนจาก สสส. นายวัชรพงศ์ ได้นำเสนอข้อเสนอ 3 ข้อจากบทเรียนแลกหัวใจคนทำงาน เพื่อนำไปสู่การสร้างสังคมที่ปลอดยาเสพติดอย่างแท้จริง
1. อยากส่งเสียงไปถึงพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคน โปรดอย่าตื่นกลัว แต่ขอให้ตื่นตัวกับปัญหา อยากชวนให้ทุกคนใช้ความกล้าในการที่จะคุยกับลูก ใช้ความรักความเข้าใจในการที่จะคุยกับบุตรหลาน และที่สำคัญเราต้องพร้อมที่จะเป็นพื้นที่ปลอดภัยให้กับลูกหลานของเราเพื่อไม่ให้พวกเขาเข้าสู่วงจรปัญหานั้น โดยชุมชนสามารถสร้างสรรค์การทำงานตามบริบทและต้นทุนที่มี พร้อมทั้งเปิดโอกาสสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้กับคนที่เคยเลี้ยวทางผิด หลงทางผิดไป เราต้องให้โอกาสจริง ๆ ให้โอกาสจากใจ
2. หน่วยงานภาครัฐและรัฐบาล ควรให้สนับสนุนการทำงานของชุมชน เสริมพลังให้กับคนที่มีใจอาสาทำงานเพื่อสังคม ได้ลุกขึ้นมาป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด บนความพร้อม บนศักยภาพของตัวเขาเอง พร้อมทั้งกระจายทุน ทรัพยากร องค์ความรู้ และอำนาจ โดยลงทุนกับคนให้เยอะ ลงทุนกับครอบครัว ลงทุนกับเด็กเยาวชนให้เยอะ แล้วเราจะได้ผลผลิตที่งดงาม เหมือนกับการปลูกต้นไม้ที่ต้องช่วยกันรดน้ำต้นไม้ทุกวัน
3. อยากเชิญชวนให้ผู้บังคับใช้กฎหมาย ผู้มีอำนาจรัฐทุกคน เอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้ ยังมีพืชเสพติดชนิดอื่นที่สร้างผลกระทบ เช่น กระท่อม เราจะเอาอย่างไรดี อยากจะให้มีพื้นที่ด้านนโยบายชวนภาคประชาชน คนทำงาน เข้ามามีส่วนร่วมหรือพัฒนาตัวนโยบายร่วมกัน
“ปัญหายาเสพติดที่เกิดขึ้นทุกวันนี้มาจากหลายฐานหลายมุมและเหตุผลที่สลับซับซ้อน การใช้อำนาจรัฐเพียงอย่างเดียวไม่สามารถทำให้ปัญหานั้นหมดลงไปได้ แต่การใช้ความรู้ความเข้าใจ การใช้ความรัก การให้โอกาส การสร้างพื้นที่ที่ปลอดภัย จะสามารถนำไปสู่การลดปัญหา ถึงแม้ว่าจะไม่หมด แต่อย่างน้อยที่สุด นำไปสู่การใช้ความจริง และแก้ไขปัญหาได้อย่างเข้าใจ” นายวัชรพงศ์ กล่าวด้วยความเชื่อมั่น
แชร์บทเรียนจากคนชนะใจตัวจริง
เคยเลี้ยวทางผิด แต่เปลี่ยนชีวิตได้
“ใครว่าเลิกไม่ได้ ผมว่าเลิกได้ครับ” เสียงดังฉะฉานของชายวัยกลางคนกึกก้องบนเวที ที่ไม่ใช่การแสดง แต่เป็นคำยืนยันจากคนที่ผ่านพ้นจากขุมนรกยาเสพติดได้อย่างสมบูรณ์ แม้จะเสพมายาวนานเป็นสิบ ๆ ปี
นายสไว อยู่หลาย ชาวบ้าน ต.หนองโสน อ.เมือง จ.เพชรบุรี บอกเล่าประสบการณ์สุดโหดว่าตนเองติดอยู่ในวังวนของยาเสพติดนานกว่า 10 ปี ตั้งแต่ช่วงเป็นวัยรุ่นที่หลงเข้าสู่วงจรผู้เสพยาเพราะความคึกคะนอง อีกทั้งพอโตขึ้นมีอาชีพรับจ้างหาบเกลือซึ่งต้องใช้แรงงานหนัก ส่งผลให้ต้องใช้ยาบ้าช่วยกระตุ้น
“เมื่อปี 2566 ที่หมู่บ้านผมมีโครงการชื่อว่าชุมชนยั่งยืน เขาก็มาชวนผมและชาวบ้านเข้าร่วมด้วย ทีแรกผมก็ไม่กล้า เพราะเขาเอาตำรวจมาด้วย ผมก็กลัวโดนตำรวจจับ แต่เขาไม่ได้จับ ผมจึงตัดสินใจเข้าร่วมโครงการ”
จากอดีตคนติดยา ปัจจุบัน นายไสวเป็นแกนนำเครือข่ายเฝ้าระวังและปกป้องเด็กเยาวชนจากยาเสพติดในพื้นที่ โดยร่วมกับนายกองค์การบริหารส่วนตำบลหนองโสน กำนันตำบล ผู้ใหญ่บ้าน และหน่วยงานสุขภาพ รพ.สต.หนองโสน อสม. และได้รับการสนับสนุนจาก สสส. ร่วมกันสร้างชุมชนให้ปลอดภัยจากยาเสพติด
ที่น่ายินดีไปกว่านั้นก็คือ ในตำบลหนองโสนมีคนพร้อมปรับเปลี่ยนตัวเอง 52 คน เฉพาะในหมู่บ้านมี 20 คน ที่เปิดใจเดินเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูโดยสมัครใจ ซึ่งผลการทำงานดี ทำให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เขต 5 ราชบุรี จะนำบทเรียนจากชุมชนนี้ขยายผลสู่พื้นที่อื่นต่อไป
...การเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดก็เหมือนการตัดสินใจกระโดดลงไปในทะเลที่แปรปรวน ตอนแรกอาจจะตื่นเต้นเร้าใจ น่าสนุก แค่ลองนิดหน่อย คงไม่เป็นไร แต่สุดท้ายก็ถลำตัวดิ่งลึกลงไปทุกที และกว่าจะรู้ตัว ก็ดูเหมือนว่าจะสายเกินไปที่จะกลับคืนขึ้นฝั่งใหม่ได้เสียแล้ว...
ข้อความจากเด็กหนุ่มคนหนึ่งในละครเวทีชุด“ชนะใจ”โดย เครือข่ายละครเฉพาะกิจ เธียเตอร์ นี้ น่าจะเป็นภาพสะท้อนได้เป็นอย่างดีกับชีวิตของนายอัสรี พิกุลจร เยาวชนชาวจังหวัดปัตตานีที่แม้พื้นฐานจะเป็นเด็กเรียนดี เป็นประธานในชั้นเรียน ประธานกีฬา แต่เพราะความอยากรู้อยากลองในช่วงเรียนชั้น ม.ปลาย ทำให้หลงเลี้ยวทางผิด พาชีวิตเข้าสู่วงจรผู้เสพยา เริ่มจากบุหรี่ น้ำกระท่อม และยาเสพติดที่รุนแรงขึ้น
พอเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ติดเพื่อน ขาดเรียนบ่อยจนต้องออกจากมหาวิทยาลัย พอออกมาทำงานเจอเพื่อน ก็เริ่มกลับเข้าสู่วงจรการเสพหนักขึ้นอีก และเริ่มเสพยาบ้า จนที่บ้านต้องส่งไปบำบัดที่โรงเรียนปอเนาะ จ.กระบี่ แต่ก็กลับเข้าวงจรเสพเหมือนเดิม สุดท้ายพ่อป่วยและเสียชีวิตจากโรคหัวใจตีบที่น่าจะมีสาเหตุมาจากบุหรี่ ส่วนตนต้องถอนฟันหลายซี่เพราะผลจากยาเสพติด มีปัญหาไตเสื่อม จึงตั้งใจเลิกอย่างจริงจัง ครอบครัวพาออกจากสภาพแวดล้อมเดิม ๆ ใช้เวลา 3 เดือน กินอาหารดี ทำให้การทำงานของไตดีขึ้น สุขภาพดีขึ้น
“พอหมอบอกว่าค่าไตดีขึ้นนะ ผมก็รู้ว่าตัวเองไม่ได้เป็นไตวาย แล้วจากนั้นเห็นน้องไปซื้มดัมเบลล์ บาร์โหน มาออกกำลัง ผมก็ได้แรงบันดาลใจในการออกกำลัง จนกระทั่งได้กล้ามเนื้อส่วนบนแล้วแต่ขายังไม่บาลานซ์ จึงเริ่มไปวิ่งออกกำลัง และได้ไปทดลองวิ่งยะลามาราธอน ระยะ 10 กิโล ได้ที่ 4 ในรุ่น ได้ถ้วยรางวัลด้วย จากนั้นได้ไปวิ่งเทรลที่บาลา เทรล สุคิริน นราธิวาส ได้ที่ 1 Overall และได้ก่อตั้งทีมชื่อว่า “มาวิ่งกันปะนาเระ” รวมคนก้าวพ้นปัญหายาเสพติด และรณรงค์ร่วมกับ สสส. ป้องกันไม่ให้คนเป็นเหยื่อยาเสพติด”
ท่ามกลางเสียงปรบมือของคนที่เข้าร่วมงาน หนุ่มนักวิ่งที่อดีตเคยผิดพลาดเล่าให้ฟังถึงหัวใจสำคัญที่พาเขาเปลี่ยนแปลงตัวเองได้อย่างเด็ดขาดนานกว่า 7 ปีแล้วว่าเพราะมีคนรอบข้างที่ดี มีแม่ที่คอยให้กำลังใจตลอดว่าทำได้เลิกได้
“พอได้เลิกและดูแลสุขภาพแล้ว ผมค้นพบว่า ความสุขที่แท้จริงและยั่งยืน คือ สุขภาพดี ร่างกายดี แข็งแรง นอนหลับ กินอิ่ม นี่คือสิ่งที่สำคัญ อยากบอกคนอื่น ๆ ว่า พวกเรายังมีดีอยู่ในตัว อย่าเพิ่งหมดหวังกับพวกเรา ขอให้เชื่อมั่นในใจพวกเรา วันหนึ่งเราจะคืนเป็นคนดีของสังคมครับ” นายอัสรี กล่าวด้วยรอยยิ้มของผู้พิชิตยาเสพติดได้อย่างหมดจด
แม้ครอบครัวจะมีพร้อมทุกอย่าง แต่ด้วยความที่ตอนเป็นวัยรุ่นนิยมชมชอบความตื่นเต้น บวกกับอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีการใช้ยาเสพติด ทำให้นายจักรพงษ์ เสือผ่อง ชุมชนวัดสวัสดิ์วารีศรีมาราม เขตดุสิต กรุงเทพฯ เข้าสู่วงจรยาทั้งค้าและเสพตั้งแต่อายุ 16 ปี
“ผมเข้าสู่วงการยาเสพติดโดยไม่มีใครแนะนำ เริ่มจากเสพแล้วก็ค้า ค้าจากน้อยไปหามาก เคยโดนเจ้าหน้าที่เป็นร้อยล้อมบ้าน แต่ก็จับไม่ได้ และเคยคิดจะล้มล้างประธานชุมชนเพราะเขาแอนตี้พวกยาเสพติด ซึ่งเราเป็นผู้ค้า เราจึงไม่ชอบ ก็เลยคิดว่าเดี๋ยวสักวันหนึ่งต้องมีการทะเลาะกับเขา”
อดีตสิงห์นักเสพและนักค้า เล่าเพิ่มเติมว่า ตนเคยมีแฟน มีลูกด้วยกัน 1 คน แต่เลิกกันไป ส่วนลูกส่งไปอยู่กับญาติ ต่อมามีแฟนคนที่ 2 และมีลูกด้วยกันอีก แฟนเตือนแต่ไม่ฟัง จึงทะเลาะกันบ้าง แต่ที่ตัดสินใจเลิกยาเสพติดเพราะลูก ๆ เริ่มโต ไม่อยากให้ลูกอายที่มีพ่อแบบตน และโชคดีที่แฟนไม่ทิ้งไปไหน อดทนประคับประคอง
นอกจากนั้น จุดเปลี่ยนสำคัญอีกประการหนึ่งคือการได้รับโอกาสและความช่วยเหลือจากผู้ใหญ่ในชุมชน ให้โอกาสครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างไม่เคยสิ้นหวังในตัวเขา
“สุดท้ายเราก็แพ้การให้โอกาสจากเขา เพราะเขาให้โอกาสหลายครั้งมาก มีแต่คนยื่นโอกาสให้ พ่อแม่พี่น้องผมด้วย เราก็เลยตัดสินใจว่าถ้าไม่รับไว้ ก็คงไม่มีอีกแล้ว โอกาสที่เขาให้ก็เช่นแนะนำงานให้ทำ หรือทำอย่างนั้นอย่างนี้ดีมั้ย มีทุนจะเอาไปสร้างแบบนั้นแบบนี้มั้ย จนเรารู้สึกว่าสิ่งที่เขามอบให้ โอกาสที่เขามอบให้ และสายตาที่เขามองเราคือเขาเป็นห่วงเราจริง ๆ จนเราตัดสินใจเด็ดขาดและเลิกยาได้”
จากชีวิตที่ฟื้นคืนมาเพราะได้รับโอกาส ปัจจุบัน นายจักรพงษ์ ทำงานขับรถให้กับสถาบันมะเร็งแห่งชาติ พร้อมทั้งผันตัวมาเป็นจิตอาสา คอยตักเตือนให้ความรู้กับคนในชุมชนถึงอันตรายของสารเสพติด ใครที่ติดยาเสพติดก็ชวนเข้าสู่การบำบัด เขากล่าวทิ้งท้ายว่า การเสพและขายเป็นวงจรที่อุบาทว์ที่สุด อยากให้กำลังใจคนที่เคยพลาด ต้องสร้างสิ่งยึดเหนี่ยวทางใจจึงจะเลิกได้สำเร็จ
เพราะจุดเริ่มต้นของการเข้าสู่วงจรยาเสพติดมีความสลับซับซ้อนและแต่ละคนก็มีปัญหาแตกต่างกันไป และเชื่อว่า จำนวนไม่น้อยที่มีชะตาชีวิตเช่นเดียวกับนายเอ (นามสมมุติ) เยาวชนจากศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน (ชาย) บ้านกาญจนาภิเษก ที่จะว่าไปก็มีความห่างเหินภายในครอบครัวเป็นจุดหักเหที่สำคัญ
“ตอนแรกก็อยู่กับพ่อแม่และครอบครัวพร้อมหน้าพร้อมตา แต่มีจุดเปลี่ยน เมื่อพ่อติดการพนัน ทำให้เกิดหนี้ ต้องเอาบ้านไปจำนองมาใช้หนี้ และพ่อกับแม่ต้องไปทำงานที่ต่างจังหวัดเพื่อหาเงินมาใช้หนี้ อยู่กันคนละจังหวัด พี่ก็ไปอยู่กับญาติ ส่วนผมไปอยู่กับน้าที่หาดใหญ่ และเมื่ออยู่กับน้า เราก็มีอิสระเยอะขึ้น ตอนอยู่กับพ่อแม่ เราต้องเข้าบ้านไม่เกินหนึ่งทุ่ม แต่พออยู่กับน้า เราเป็นอิสระ ก็ติดอยู่ที่ร้านเกม และผมก็ชอบบรรยากาศในร้านเกม เพราะเรามีเพื่อนที่เข้าใจกัน คุยภาษาเดียวกัน แต่ละคนก็มีปัญหาเดียวกันคือที่บ้านไม่ได้อบอุ่น”
เด็กหนุ่มเล่าถึงชีวิตช่วงนั้น ก่อนเผยถึงจุดหักเหที่เปลี่ยนชีวิตไปในด้านมืด เมื่อมีรุ่นพี่พาเข้าวงจรส่งยาเสพติด ทำง่าย ได้เงินง่าย เพียงแต่เขาไม่ได้เสพ เพราะเคยเห็นคนเสพยาแล้วคลั่ง จึงกลัวไม่กล้าลอง แต่ส่งยาได้ 4 ปี ก็พลาด โดนจับ ของกลางทั้งหมดเป็นยาบ้า 4 ล้านเม็ด ยาไอซ์ 9 กิโลกรัม และกัญชาอีก 5 กิโลกรัม
“ตอนนั้นอายุ 17 ปี พอเราพลาดก็ถูกจับกุมและเข้าสู่สถานพินิจ จากนั้นจึงมีโอกาสได้เข้าไปอยู่บ้านกาญนาภิเษก ได้รับการดูแลผ่านกระบวนต่าง ๆ ที่ช่วยเปลี่ยนความคิด เช่น เมื่อก่อนเราอาจจะคิดว่าแค่ขายยาไม่ได้ไปฆ่าใครตาย แต่เขาให้เราดูข่าวและวิเคราะห์ เป็นข่าวคนคลั่งยาฆ่าแม่เพราะแม่ไม่ให้เงินไปซื้อยา แบบนี้เราก็ไม่ต่างไปจากฆาตกรที่ฆ่าคน เพราะเราไปยุ่งกับยาเสพติด เป็นคนค้า มันส่งผลกระทบต่อคนอื่น ๆ อีกหลายคน”
นอกจากนั้น การมีแม่เป็นที่ที่ยึดเหนี่ยวจิตใจก็ทำให้นายเอแข็งแกร่งขึ้นและพร้อมจะกลับตัวเป็นคนใหม่ เพราะเห็นแม่ลำบากและสู้เพื่อเขา จึงอยากตอบแทนแม่ด้วยการไม่กลับไปเป็นแบบเดิม ขณะที่ตัวเขาเองก็มีเป้าหมายสำคัญคือการเล่นดนตรีที่ชื่นชอบมาตั้งแต่เด็ก และเมื่อมีโอกาสได้ออกงาน มีผู้ใหญ่เห็นความสามารถชวนไปทำเพลงกับค่ายวอร์เนอร์มิวสิกซึ่งปัจจุบันได้เริ่มทำเดโมแล้ว
“ในความคิดของผม บ้านกาญจนาภิเษก คือบ้านแห่งโอกาส ไม่ได้ตีตราว่าคุณคือคนที่ทำผิด แต่มองว่าทำไมเราทำแบบนั้น เพื่ออะไร อะไรผลักดันให้เรามาทำ อีกอย่าง บ้านกาญจนาภิเษก เขาทำงานร่วมกับครอบครัวเราด้วย เพราะว่าตอนที่เราหลงผิด คือเรายังไม่มีทุนความคิด และครอบครัวอาจจะไม่มีเวลาดูแลเราเพียงพอ บ้านกาญจนาภิเษกจึงทำงานร่วมกับครอบครัวเรา ให้แม่หรือผู้ปกครองมาคุยว่าเราต้องการอะไร เพื่อให้เข้าใจกันอย่างลึกซึ้ง” นายเอ กล่าวย้ำถึงความประทับใจที่ได้รับจากบ้านกาญจนาฯ
สุดท้ายแล้ว ต้องยอมรับว่า ความผิดพลาดนั้นสามารถเกิดขึ้นได้ในชีวิต หลายคนอาจเคยหลงผิด หักเลี้ยวพวงมาลัยชีวิตเข้าสู่วงจรยานรก แต่ด้วยหัวใจที่แข็งแกร่งและตั้งใจเด็ดเดี่ยว ก็พาพวกเขาเลี้ยวกลับเข้าสู่เส้นทางที่ดีได้ และเหนืออื่นใดคือสังคมที่ให้โอกาสและห่วงใยจากใจจริง เป็นอีกหนึ่งกำลังสำคัญที่ส่งพลังให้พวกเขากลับก้าวขึ้นฝั่ง หลุดพ้นจากทะเลคลั่งที่แปรปรวนเพราะฤทธิ์ยาเสพติดได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน