xs
xsm
sm
md
lg

สมัครฉุนสภากทม.ล่ม จวกเล่นการเมืองเกินเหตุ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

สมัครหงุดหงิดสภากทม.ล่ม ออกโรงตำหนิการเล่นการเมืองแบบไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของคนกรุงเทพฯ พร้อมปกป้อง “ผุสดี” ชี้ไม่ควรตัดสินเพียงแค่เรียกไปสอบ จำเป็นต้องส่งเจ้าหน้าที่มาตรวจในห้องประชุม และเรียกร้องให้สก.กลับเนื้อกลับตัวเข้าร่วมประชุม

นายสมัคร สุนทรเวช ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวแถลงถึงกรณีสภากรุงเทพมหานคร ไม่สามารถประชุมเพื่อพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี 2548 ของ กทม.ได้ เนื่องจากสมาชิกสภา กทม.ไม่ครบองค์ประชุมว่า เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องของสภา กทม.ซึ่งเป็นอีกครึ่งหนึ่งของกทม. เพราะกทม.ประกอบด้วย 2 ฝ่ายด้วยกัน คือฝ่ายสภากทม. และฝ่ายบริหารที่ร่วมกันบริหารจัดการและดูแลกทม.ทั้ง 50 เขต

อย่างไรก็ตาม ในวันนั้นเนื่องจากติดภารกิจทำให้ไม่สามารถเข้าร่วมประชุมด้วยได้ แต่ก็ได้ส่งตัวแทนคือ น.พ.ประพันธ์ กิติสิน รองผู้ว่าฯ กทม.และนายชัยสิทธิ์ ภูวภิรมย์ขวัญ เลขานุการฯ เข้าร่วม ซึ่งในความเป็นจริงทั้ง 2 คนก็ไม่มีหน้าที่ที่จะไปแสดงความคิดเห็นอะไร

“เจ้าหน้าที่รายงานผมแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ตามมารยาทผมไม่ควรออกความคิดเห็นเพราะเป็นเรื่องความขัดแย้งระหว่างการเมืองท้องถิ่น ซึ่งบังเอิญมีพรรคการเมืองเข้ามาถือหางอยู่ด้วย สมาชิกของสภากทม.มีทั้งหมด 61 คนล้วนมาจากต่างพรรคการทั้งที่สังกัดพรรครัฐบาล สังกัดพรรคฝ่ายค้านและพรรคอิสระที่อาจเป็นพันธมิตรได้ทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล จึงทำให้เกิดปัญหาอย่างที่เป็นอยู่หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้ขึ้นนั่งตำแหน่งประธานสภากทม.”

“ในทั้ง 61 คนนั้นพรรคที่ได้รับการเลือกตั้งเข้ามามากสุดคือพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งตอนนี้ทำหน้าที่เป็นฝ่านค้านในการบริหารประเทศ ถัดไปคือพรรคที่เป็นรัฐบาลคือพรรคไทยรักไทยที่มีอยู่ 25 คน แต่ทางฝ่ายรัฐบาลมีพันธมิตรอยู่อีก 2 คน คือ ส.ก.ที่มาจากพรรคชาติไทยและส.ก.ที่มาจากพรรคชาติพัฒนารวมกันก็มี 28 คน เท่ากับทางพรรคประชาธิปัตย์พอดี และมีที่เป็นคะแนนเสียงเอกเทศอิสระอีก 5 เสียง ซึ่งทั้งประชาธิปัตย์และไทยรักไทยต้องไปหาทางผูกมิตรดึงคะแนนเสียงที่เป็นเอกเทศเข้ามาร่วมด้วยเพื่อให้ได้รับคะแนนเสียงข้างมากในสภาเพื่อที่จะได้ทำหน้าที่ประธานสภากทม.”

นายสมัครกล่าวว่า 2 ปีที่ผ่านมาพรรคประชาธิปัตย์ผูกมิตรได้จึงได้ทำหน้าที่เป็นประธานแต่มาคราวนี้การเลือกตั้งประธานสภากทม.คนใหม่ขึ้นเมื่อวันที่ 24 มิ.ย.ที่ผ่านมาโดยมีนางผุสดี วงศ์คำแหงทำหน้าที่ประธานชั่วคราวในการคัดเลือกเพราะมีความเป็นอาวุโสมากกว่าคนอื่นๆจึงทำหน้าที่ในวันนั้น จึงทำให้เสียงของทั้งพรรคประชาธิปัตย์และพรรคไทยรักไทยที่นั่งอยู่ในที่ประชุมข้างล่างเท่ากันที่ 30:30 ซึ่งเมื่อคัดเลือกประธานออกมาแล้วได้คะแนนเท่ากันคือ 30:30

ที่สำคัญคือประธานชั่วคราวที่ทำหน้าที่ในการประชุมสามารถออกคะแนนเสีงโหวตได้อีกครั้งว่าจะให้ใครฝ่ายไหนได้เป็นแน่นอนว่าต้องเป็นพรรคประชาธิปัตย์เพราะประธานที่ทำหน้าที่มาจากพรรคประชาธิปัตย์ แต่ไม่เป็นเช่นนั้นเพราะพอนับคะแนนจริงผลกลับออกมาไทยรักไทยได้ 29 เสียง พรรคประชาธิปัตย์ได้ 30 เสียง ทำให้ไทยรักไทยไม่พอใจแล้วลุกประท้วง แต่ประธานชั่วคราวบอกว่าไม่เห็นไม่มีการประท้วงทำให้ไทยรักไทยไปยื่นขอให้ทางรัฐมนตรีมหาดไทยตัดสินตรวจสอบข้อเท็จจริงของการนับคะแนนเรื่องราวเลยไม่จบทำให้เปิดประชุมสภากทม.ไม่ได้มา 2 ครั้งด้วยกัน

“หลังจากเกิดเรื่อง ผมเคยออกมาพูดว่าทำไมไทยรักไทยจึงไปเสนอชื่อคนที่ชิงประธานสภาที่มาจากประชาธิปัตย์ ซึ่งการทำแบบนั้นเป็นการเล่นการเมืองจนทำให้เกิดความวุ่นวายคาราคาซัง แต่ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบกับทางฝ่ายบริหารและจะไม่ไปเคลื่อนไหวทำอะไรที่ตามอำนาจของผู้ว่าฯกทม.สามารถทำได้เพราะยังเชื่อว่าท้ายที่สุดจะสามารถตกลงกันได้”

“ผมมันเป็นคนกลางแต่จะไม่อยู่กลางเฉยๆ อย่างน้อยที่สุด ความเป็นธรรมของผมที่เคยประชุมในห้องประชุมสภากทม.มาจะครบวาระสมัยของผู้ว่าฯ กทม.นั้นทราบดีว่าห้องประชุมนี้กว้างมากจริงๆ หากเกิดเหตุความวุ่นวายเป็นไปได้ที่คนที่ทำหน้าที่ประธานจะมองไม่เห็นการประท้วงหรือเหตุการณ์อะไรที่เกิดขึ้น และหากคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงเรื่องนี้ของกระทรวงมหาดไทยควรจะต้องมาตรวจสอบที่ห้องประชุมด้วยว่าเห็นอะไร และตอนนั้นเป็นอย่างไรจะได้เห็นภาพไม่ใช่เรียกไปสอบโดยไม่มาดูสถานที่จริงเพราะมีความเป็นไปได้ที่นางผุสดี วงศ์กำแหง ซึ่งทำหน้าที่ประธานสภา กทม. ชั่วคราวจะมองไม่เห็นว่าผู้ประท้วงให้มีการนับคะแนนใหม่ เนื่องจากห้องประชุมสภา กทม. มีความยาว 28 เมตร และกว้าง 10 เมตร”

นายสมัครกล่าวด้วยว่า ตอนนี้ผมอยากเชิญชวนให้ส.ก.ทุกคนเปลี่ยนใจมาร่วมประชุมกันเสีย มาถึงขั้นนี้แล้วจะทำให้วุ่นวายกันไปใหญ่โตก็ไม่มีประโยชน์ เพราะตำแหน่งประธานสภากทม.ก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีอภิสิทธิอะไรมากมายเหนือคนอื่น

ที่สำคัญคือ หากงบประมาณเข้าสภาแล้ว ภายใน 45 วัน ยังไม่สามารถเปิดประชุมหรือพิจารณางบไม่เสร็จก็ให้คงใช้งบเดิมตามปีที่ผ่านมาคือ 2,900 ล้านบาทได้ แต่จะมีปัญหาตรงที่ไม่สามารถแปรญัตติได้หากมีวาระที่ต้องแปรญัตตติ เพราะไม่มีงบสำหรับแปรญัตติในงบใหม่ตั้งไว้ให้

ส่วนที่สงสัยว่าหากส.ก.ไม่มาร่วมประชุมเกิน 4 ครั้ง จะเสียสิทธิไปเลยนั้น ตามระเบียบหากส.ก.คนใดที่ไม่เข้าประชุมสภา กทม. 4 ครั้งติดต่อกันใน 1 สมัย 30 วัน จะเสียสิทธิ์การเป็น ส.ก.แต่ต้องเป็นกรณีที่เปิดประชุมสภาแล้วเท่านั้น

ด้านนายชนินทร์ รุ่งแสง รองประธานสภากทม. คนที่ 2 กล่าวว่า เพื่อยุติความวุ่นวายที่เกิดขึ้น อยากเสนอให้นายสมัครตัดสินใจยุบสภากทม.แล้วทำเรื่องส่งไปยังรมว.มหาดไทย ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้เรื่องราวที่เกิดขึ้นยุติลงภายในเวลาอันรวดเร็ว โดยไม่ต้องรอให้กฤษฎีกาตีความ

ขณะที่นายสมัครกล่าวว่า เป็นแนวคิดที่ไม่สามารถทำได้เพราะจะเป็นการสิ้นเปลืองค่างบประมาณใช้จ่ายในการเลือกตั้งโดยใช่เหตุ
 

           
 

กำลังโหลดความคิดเห็น