xs
xsm
sm
md
lg

“พท.-ส้ม”แทงกั๊กซักฟอก ผวายุบสภาก่อน !?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


อนุทิน ชาญวีรกูล - ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ - จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์
เมืองไทย 360 องศา

สังเกตหรือไม่ว่า สำหรับพรรคฝ่ายค้าน ไม่ว่าจะเป็นพรรคเพื่อไทย หรือ แม้แต่พรรคประชาชน ที่ไม่เคยมีท่าทีชัดเจนว่ามีการ “ซักฟอก” รัฐบาลหรือไม่ หรือจะยื่นญัตติเมื่อไหร่ แต่ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่งสำหรับฝ่ายรัฐบาล โดย นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่ยืนยันว่า ยุบสภาวันที่ 31 มกราคม ปีหน้า อย่างแน่นอน ซึ่งถือว่าเป็นการกำหนดไทม์ไลน์ ไว้อย่างชัดเจน

หากพิจารณากันทั้งสองฝ่ายย่อมมีเหตุผลแตกต่างกัน ฝ่ายแรกคือ ฝ่ายค้าน ก็ยังแยกย่อย เป็นพรรคเพื่อไทย ซึ่งเวลานี้ยังไม่มีท่าทีชัดเจนว่าจะยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจฝ่ายรัฐบาลหรือไม่ ทำให้มีคำถามเกิดขึ้นในใจว่า เป็นเพราะกลัวจะเป็นแบบ “หยิกเล็บเจ็บเนื้อ” หรือเปล่า ซึ่งหากพิจารณาความหมายที่ใกล้เคียงก็คือ ถ้าเกิดการอภิปรายซักฟอกเกิดขึ้นจริง ก็อาจกลายเป็นว่าคนที่ “โดน” ก็น่าจะเป็นคนในรัฐบาลก่อน ก็คือพรรคเพื่อไทย รวมไปถึงคนในครอบครัว “ชินวัตร” ที่เป็นเจ้าของพรรคหรือเปล่า และยิ่งเวลาเพิ่งจะห่างมาไม่นานแบบนี้ รับรองว่าโดน “จัดหนัก” เข้าตัวแน่นอน

พิจารณาจากท่าทีของ นายสรวงศ์ เทียนทอง สส.สระแก้ว และรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) ให้สัมภาษณ์ถึง กรณีความคืบหน้าการเตรียมยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจว่า มีการพูดคุยกันเบื้องต้น และ คณะยุทธศาสตร์ของพรรคก็คุยกันอยู่ อย่างไรก็ตาม ต้องไม่ไปกระทบต่อกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เราต้องคำนึงถึงไทม์ไลน์ต่างๆ ด้วย แต่เรื่องนี้ตนเคยพูดหลายครั้งแล้วว่า เรื่องของพยานหลักฐานต่างๆ ต้องพร้อมที่จะอภิปราย

ถามว่า หากต้องไปประสานกับพรรคประชาชน (ปชน.) จะมีปัญหาอะไรหรือไม่ เพราะไม่มีคนเข้าไปนั่งเป็นคณะกรรมการประสานงานร่วมฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร (วิปฝ่ายค้าน) นายสรวงศ์ กล่าวว่า จริงๆ แล้วการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ เป็นสิทธิ์ของฝ่ายค้าน และใช้เสียง 1 ใน 5 ของที่ประชุมสภาฯ ที่มีอยู่ทั้งหมด ซึ่งเสียงของพรรคพท.ก็พอ หากไม่คุยกับพรรคปชน. ก็สามารถยื่นได้

“อย่างที่บอกว่า เราต้องคำนึงถึงอะไรหลายๆ อย่าง เช่น เรื่องของไทม์ไลน์ พยานหลักฐานที่เราจะเอาผิดกับคนที่เราจะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ แต่ทั้งนี้ นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ สส.เชียงใหม่ และหัวหน้าพรรค พท. กับนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคปชน. ก็มีการพูดคุยกันอยู่”

เมื่อถามว่า กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ยังเป็นเงื่อนไขที่เรามีความกังวลว่าจะมีการชิงยุบสภาอยู่ ใช่หรือไม่ นายสรวงศ์ กล่าวว่า ตอนนี้ไทม์ไลน์แล้ว เท่าที่ตนได้รับทราบจากคณะกรรมาธิการ (กมธ.) พิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่…) พ.ศ… รัฐสภา ก็มีความพยายามที่จะยืดเวลาออกไป ไม่อยากให้มีการเปิดสมัยประชุมวิสามัญได้ทันช่วงที่มีการปิดสมัยประชุม จริงๆ แล้วหากมีการยื่นไว้ที่มีการเปิดสมัยประชุมสมัยสามัญ คือ วันที่ 12 ธันวาคม เป็นต้นไป ก็สามารถที่จะทำได้เลย หากสภาฯ รับแล้วก็ไม่สามารถที่จะยุบสภาหนีได้

ขณะที่อีกพรรคหนึ่ง คือพรรคประชาชน ที่ถูกวิจารณ์ว่า “หมกมุ่น” อยู่กับเรื่องการ “แก้รัฐธรรมนูญ” เพื่อนำไปสู่การยกร่างใหม่ทั้งฉบับ ก็หวั่นเกรงว่าเป้าหมายของตัวเองทำไม่สำเร็จ เพราะหากมีการยุบสภาเกิดขึ้นก่อนกำหนด ก็จะส่งผลกระทบต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญในตอนนี้ไปด้วย นั่นคือ หากมีความชัดเจนว่าจะมีการยื่นญัตติซักฟอกรัฐบาล หรือ นายอนุทิน เกิดขึ้นเมื่อใดก็ตาม เมื่อนั้น นายกรัฐมนตรีก็จะชิงยุบสภาตัดหน้าทันที

กลายเป็นว่าเวลานี้ นายอนุทิน และพรรคภูมิใจไทย กำลังถือไพ่เหนือกว่า นำเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาเป็นตัวประกัน กับพรรคประชาชน จนทำให้ไม่กล้าขยับมากนัก เพราะหากมีการยุบสภาก่อนกำหนด ทำให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญแท้ง เมื่อใด ก็ยิ่งทำให้พรรคประชาชนแทบไม่มีผลงานอะไรไปหาเสียงกับบรรดา “ด้อมๆ” ทั้งหลาย ที่คลั่งไคล้ในเรื่องแบบนี้ เพราะที่ผ่านมา หากพิจารณาจากภาพรวมๆ ของกระแสความนิยมแล้ว จากผลสำรวจที่ต่อเนื่องกันหลายสำนัก ถือว่า “ไม่ได้ดีขึ้น” ลักษณะออกมาในลักษณะ “ทรงกับทรุด” เท่านั้น แม้ว่าจะยอมรับกันว่าการเลือกตั้งคราวหน้าพรรคการเมืองพรรคนี้ยังน่าจะได้ ส.ส.เป็นอันดับหนึ่ง หรือสองก็ตาม ส่วนที่บอกว่าจะมาแบบ “แลนด์สไลด์” ประเภท 250 ขึ้นนั้น น่าจะฝันกลางวันเสียมากกว่า

อีกทั้งหากพิจารณาจากกระแสพรรคจากผลสำรวจก็ยังออกมาไม่ได้เหนือกว่าพรรคอื่น คือ พรรคเพื่อไทย ภูมิใจไทย มากนัก โดยเฉพาะในช่วงท้ายๆ ที่เริ่มมองเห็นว่า พรรคภูมิใจไทย เริ่มแรงขึ้นมา ทั้งตัวหัวหน้าพรรคคือ นายอนุทิน ก็ได้รับความนิยมมากขึ้นทุกที จนแซงหน้าหัวหน้าพรรคประชาชนคือ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ภาพที่ปรากฏแบบนี้ ย่อมมีผลต่อการเลือกตั้งแน่นอน เพราะนี่คือ กระแสในการเลือกตั้ง สำหรับหัวหน้าพรรค ขณะที่พรรคประชาชนคนที่กลายเป็น “กระแส” กลับกลายเป็น ลูกพรรค เช่น นายรังสิมันต์ โรม หรือ น.ส.รักชนก ศรีนอก เป็นต้น ลักษณะที่เกิดขึ้นแบบนี้ ย่อมไม่เป็นผลดีสำหรับการณรงค์รงค์หาเสียงแน่นอน

เมื่อพิจารณาในภาพรวมๆ ที่พอจับอาการได้ทั้งสองพรรคฝ่ายค้านหลักในเวลานี้ คือ พรรคเพื่อไทย กับพรรคประชาชน ที่จนถึงตอนนี้ยังไม่มีท่าทีชัดเจนว่า จะมีการยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจในสมัยประชุมหน้า หรือไม่ เพราะหากจะยื่นก็ต้องยื่นภายในเดือนธันวาคมนั่นแหละ ซึ่งอย่างที่บอกตั้งแต่ต้นว่า ทั้งสองพรรคมีเหตุผลและความจำเป็นต่างกัน นั่นคือ พรรคเพื่อไทย ที่แม้จะเพิ่งมีการเปลี่ยนแปลงหัวหน้าพรรคใหม่ และยังต้องใช้เวลาในการจัดการภายในก่อนขณะเดียวกัน หากมีการซักฟอกเกิดขึ้นจริง ก็ยังไม่รู้ว่าเอาเข้าจริงฝ่ายไหนจะหนักกว่ากัน

ขณะที่อีกพรรคหนึ่งคือ พรรคประชาชน ที่เวลานี้กำลังลุ้นให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญได้สำเร็จ จะได้นำผลงานไปโชว์ “ด้อม” ในช่วงหาเสียง และที่สำคัญการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ยังต้องพึ่งพาเสียงของส.ว.ที่ต้องใช้หนึ่งในสาม คือ ราว 67 เสียง ก็ต้องพึ่งพา “สีน้ำเงิน” ถึงจะมีทางลุ้นให้สำเร็จ ซึ่งเวลานี้ถือว่ายังลูกผีลูกคน ยังไม่ชัวร์ นี่ยังไม่นับรวมบรรยากาศข้างนอกระดับชาวบ้านที่สังเกตว่า ไม่ได้รู้สึกรู้ร้อนรู้หนาว ไม่มีความสนใจว่าต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือ “ยกร่างใหม่” ให้ได้ อีกทั้งยังต้องเสียเงินเสียทอง มีแต่เรื่องผลประโยชน์ และอำนาจของพวกนักการเมืองเท่านั้น ความรู้สึกจะออกมาประมาณนี้

ดังนั้น หากพิจารณาจากสถานการณ์และบรรยากาศเวลานี้ถือว่า พรรคภูมิใจไทย และ นายอนุทิน ชาญวีรกูล ยังได้เปรียบ และจะยิ่งได้เปรียบมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะยุบสภาตามกำหนด คือ 31 มกราคม ปีหน้า หรือว่า “ยุบก่อน” ไม่ว่าออกมาแบบไหน ก็ได้เปรียบ ขณะที่ฝ่ายค้าน ยังละล้าละลัง ยังไม่กล้าลุยเต็มเหนี่ยว มองไม่เห็นทางได้เปรียบเลยแม้แต่น้อย !


กำลังโหลดความคิดเห็น