เมืองไทย 360 องศา
“เรื่องนี้ผมไม่อยากให้ไปพูด หรือให้นักวิเคราะห์ทั้งหลายไปพูดว่า เดี๋ยว 4 เดือนก็จะหาเรื่องหาเหตุจะไม่ยุบสภา ซึ่งเรื่องนี้เป็นข้อตกลงที่ลงนาม ใช้คำว่า MOA ก็ไม่ได้ มันคือข้อตกลง ไม่ใช่บันทึกข้อตกลง แต่นี่มันคือข้อตกลง เหมือนกับสัญญาที่มีอยู่ 5 ข้อ และเราก็ต้องปฏิบัติ และเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญด้วย รวมถึงเรื่องการไม่สร้างเสียงข้างมากด้วย
“ผมจะไปกินข้าวกับใคร เรื่องของผม แต่ผมไม่ได้ไปสร้างเสียงข้างมาก อย่าไปวิเคราะห์อะไร แล้วทำให้เกิดความกังวลหรือไม่สบายใจของคนที่มาร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงของเรา ทุกข้อ ทุกประเด็น จะได้รับการปฏิบัติ คุณธนาธร (จึงรุ่งเรืองกิจ ที่ถูกมองว่าเป็นเจ้าของพรรคประชาชน) พูดเมื่อวันที่19 ก.ย.แล้วว่า ไม่มีวันที่ 121 ซึ่งนายอนุทิน ก็ยืนยันว่า ไม่มีวันที่ 121”
นั่นคือ คำยืนยันของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ที่ย้ำถึงเรื่องวันยุบสภาจะเกิดขึ้นตามกำหนด 4 เดือน ตามสัญญาที่ให้ไว้ จะไม่มีความพยายามเป็นรัฐบาลเสียงข้างมากอย่างแน่นอน
ดังนั้น การเลือกตั้งจะต้องเกิดขึ้นตามขั้นตอน หลังจากมีการยุบสภาเมื่อครบกำหนด 4 เดือนไปแล้ว อย่างไรก็ดี เมื่อกำลังเข้าโหมดการเลือกตั้งอย่างเต็มตัวแบบนี้ ทำให้เห็นความเคลื่อนไหวทางการเมือง รวมไปถึงการมองเห็นอนาคตทางการเมืองทั้งในช่วงการเลือกตั้ง และหลังเลือกตั้งค่อนข้างชัดเจนแล้ว
โดยภาพการเมืองในอนาคต จะเป็นลักษณะการเมืองแบบ “สามก๊ก” อย่างชัดเจน นั่นคือ ก๊กภูมิใจไทย ก๊กเพื่อไทย และ ก๊กพรรคประชาชน นั่นเอง ซึ่งหนึ่งในสามก๊กดังกล่าวอาจจะกลายเป็น “ตัวแปร” หลังการเลือกตั้งในการจัดตั้งรัฐบาลผสมตามมาก็อาจเป็นไปได้
โฟกัสไปที่พรรคภูมิใจไทยก่อน เวลานี้จะได้เห็นภาพการ “ไหลเข้า” ของกลุ่มการเมือง ส.ส.รวมไปถึงลักษณะที่เป็น “บ้านใหญ่” ประจำจังหวัดจำนวนมาก ทั้งที่มีการเปิดตัวชัดเจนไปแล้ว เช่น กลุ่ม “บ้านใหญ่ชุมพร” จากพรรครวมไทยสร้างชาติ จำนวนกลุ่มใหญ่ นอกเหนือจากที่ก่อนหน้านี้ มี “กลุ่มสุชาติ” นำโดย นายสุชาติ ชมกลิ่น อีกปีกหนึ่งของพรรครวมไทยสร้างชาติที่เปิดตัวสนับสนุนนายอนุทิน เป็นนายกรัฐมนตรีไปก่อนหน้านี้ และได้รับโควตารัฐมนตรีกันไปแล้ว และเร็วๆ นี้ ยังจะมีกลุ่มของ นายเอกณัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรคเดียวกัน กำลังจะตามมาอีก จนทำให้จำนวน ตัวเลขส.ส.มาเพิ่มให้กับพรรคภูมิใจไทยเป็นกอบเป็นกำอย่างทันตา จนสร้างความหวั่นไหวให้กับพรรคประชาชน ว่ากำลังจะผิดคำสัญญาหรือเปล่า จนนายอนุทิน ต้องรีบเบรก และย้ำว่าจะ “ไม่มีวันที่ 121” ดังกล่าวนั่นแหละ
นอกเหนือจากนี้ ภาพจากงานวันเกิดของนายภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำนักนายกรัฐมนตรี “บ้านใหญ่อ่างทอง” เมื่อวันที่ 20 กันยายน ที่ผ่านมา ได้สะท้อนภาพ “บ้านใหญ่” หลายจังหวัด ที่ทยอยเข้ามาสมทบ เช่น กลุ่ม“บิ๊กแจ๊ส” พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี ที่งานนี้ไม่มีเม้มกันแล้ว
กลุ่มนางสมทรง พันธ์เจริญวรกุล นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอยุธยา พล.ต.ท.คํารณวิทย์ ธูปกระจ่าง นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี นายนิกร จำนง ผู้อำนวยการพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) นายจองชัย เที่ยงธรรม อดีต สส.สุพรรณบุรี บรรดานักการเมืองท้องถิ่นและประชาชน รอให้การต้อนรับ ทั้งนี้ถือเป็นการลงพื้นที่จังหวัดอ่างทองครั้งแรกของ นายอนุทิน ภายหลังมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯนายกฯและคณะรัฐมนตรี โดยการลงพื้นที่ในวันเดียวกันนี้ เป็นการลงพื้นที่ในนามหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย
นายอนุทิน กล่าวพบปะผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตอนหนึ่งว่า สวัสดีนะครับ ปรบมือหน่อยได้ไหมครับ พ่อแม่พี่น้องชาวอ่างทองที่เคารพรัก วันนี้เรามีแขกผู้ใหญ่มาร่วมในงานวันคล้ายวันเกิดของนายภราดร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ผู้ใหญ่ท่านแรกที่ผมเคารพนับถือเป็นแบบอย่างในการดำเนินงานการเมือง คือ นายจองชัย หรือ อาจองชัย ท่านมาจากจังหวัดสุพรรณบุรี คนที่สองนายนิกร ท่านเปรียบเสมือนพี่ชายที่เคารพรักกันมานานเป็นครม.อยู่ด้วยกันเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว ท่านเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ผมเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เราทำงานด้วยกันคบหากันมานาน และยังมี นางสมทรง และ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ และอดีตผู้ว่าราชการจังหวัดอ่างทอง ปัจจุบันนี้ ไปเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรี
ปรากฏการณ์ดังกล่าว ย่อมสะท้อนให้เห็นว่าพรรคภูมิใจไทย กำลังขยายเครือข่ายในพื้นที่ “ภาคกลาง” อย่างชัดเจน และกำลังเติบโตอย่างน่าจับตา โดยเฉพาะ“กลุ่มสุพรรณฯ” ที่คราวนี้มีระดับ “ตัวแทนสายตรง” คือ นายนิกร และนายจองชัย มารวมพูดคุย ที่เหมือนเป็นการแสดงท่าทีทางการเมืองในการเลือกตั้งคราวหน้าอีกด้วย ส่วนจะเป็นลักษณะ“ควบรวม” หรือเป็นการ “หยั่งสองขา”หรือไม่ เพราะหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา คือนายวราวุธ ศิลปอาชา กับนายประพัฒน์ โพธสุธน เลขาธิการพรรค ซึ่งก่อนหน้านี้ยืนข้างพรรคเพื่อไทย
สำหรับพรรคเพื่อไทยของ นายทักษิณ ชินวัตร เวลานี้ถือว่ากำลังเจอศึกหนักหลายด้าน ที่เห็นเวลานี้คือ ศึกระหว่างภูมิใจไทย กับพรรคประชาชน ทั้งบทบาทในสภาที่ไม่อาจร่วมงานกับพรรคประชาชนในฐานะฝ่ายค้าน และกลายเป็นพรรคที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ทั้งในเรื่องความนิยม และบรรดา“บ้านใหญ่” ตีจาก ที่เห็นเค้าชัดเจนก็คือ “กลุ่มแป้งมันโคราช” ที่มี ส.ส.กลุ่มใหญ่อยู่ในมือ กำลังจะตีจาก แม้ว่าจะได้เห็นท่าทีชัดเจนจาก“ครอบครัวชินวัตร” ไม่ว่าจะเป็นการที่น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ยังตรึงเก้าอี้หัวหน้าพรรคต่อไป หรือคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ มายืนยันในที่ประชุมพรรคให้ “สู้สู้” เหมือนส่งสัญญาณเรื่อง“กระสุน”เต็มที่ก็ตาม แต่ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เกิดความเสียหายมากมาย จนหลายคนมองว่ากอบกู้ขึ้นมาได้ยาก แม้ว่าจะยังเป็นพรรคหลัก ก็ตาม
ขณะที่พรรคประชาชนที่พยายามสร้างกระแสให้เห็นว่าตัวเองจะเป็นพรรคใหญ่ที่สุด มีเป้าหมายจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียว แต่ที่ผ่านมาหากพิจารณาจากกระแสจริงแล้ว มันไม่ได้มีลักษณะ“ฟีเวอร์” อาจจะยังเป็นพรรคใหญ่ที่สุด แต่การจะกวาด ส.ส.ทั้งประเทศนั้น แทบเป็นไปไม่ได้เลย พิสูจน์ได้จากผลการเลือกตั้งซ่อม และการเลือกตั้งระดับท้องถิ่นที่พวกเขา “แพ้ขาด” ตลอด
ดังนั้นหากฉายภาพการเมือง “สามก๊ก” ในการเลือกตั้งคราวหน้า น่าจะเห็นการเติบใหญ่ในลักษณะ “บ้านใหญ่” กำลังไหลเข้ามาเติมพรรคภูมิใจไทย ขณะที่พรรคเพื่อไทยกำลังเจอภาวะ “เลือดไหล” อีกล็อตใหญ่ แม้ว่า “นายหญิง” จะลงมากำกับเอง ก็น่าจะสกัดได้ไม่มากนัก ส่วนพรรคประชาชนแม้ว่าจะยังรักษาอันดับพรรคใหญ่ที่สุด แต่ยังไม่แรงพอที่จะเป็นรัฐบาลพรรคเดียวได้ และยิ่งบรรยากาศ “เผด็จการ” เบาบางลงไปแบบนี้ ยิ่ง “ฟีเวอร์” ยากแน่นอน !!