xs
xsm
sm
md
lg

คนไทยข้องใจ “ไม่มีเงื่อนไข” !? คืออะไร เจรจาหยุดยิง "ภูมิธรรม" อ่อนข้อเขมร หรือมี "ดีลลับ" ต้องปิดเกมเร็ว !

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ข่าวปนคน คนปนข่าว


++ คนไทยข้องใจ “ไม่มีเงื่อนไข” !? คืออะไร เจรจาหยุดยิง "ภูมิธรรม" อ่อนข้อเขมร หรือมี "ดีลลับ" ต้องปิดเกมเร็ว !

ผลการหารือแนวทางสันติภาพในภูมิภาค เกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ที่มีมาเลเซียเป็นเจ้าภาพ ตั้งโต๊ะเจรจา มีสหรัฐ และจีน ให้การสนับสนุน และร่วมเป็นสักขีพยาน โดยไทยและกัมพูชา เห็นพ้องหยุดยิง เวลา 24:00 น. ของวันที่ 28 ก.ค.68

หลังการหารือ ได้มีการออกแถลงการณ์ร่วมต่อสื่อมวลชน เกี่ยวกับผลการประชุมนัดพิเศษครั้งนี้ นายกรัฐมนตรี “ฮุน มาเนต” ของกัมพูชา และ “ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกรัฐมนตรี รักษาการนายกรัฐมนตรีของไทย ได้แสดงจุดยืนและความตั้งใจที่จะหยุดยิงโดยทันที และคืนสู่สภาวะปกติ

ประธานาธิบดี “โดนัลด์ เจ. ทรัมป์” แห่งสหรัฐอเมริกา ได้ติดต่อกับผู้นำของทั้งสองประเทศ เพื่อเรียกร้องให้หาทางออกอย่างสันติ ส่วนฝ่ายจีน ก็ได้ติดต่ออย่างใกล้ชิดกับกัมพูชา ไทย มาเลเซีย และประเทศที่เกี่ยวข้อง เพื่อส่งเสริมการเจรจา การหยุดยิง และการฟื้นฟูสันติภาพ

การมีส่วนร่วมและความร่วมมือของทุกฝ่าย สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นร่วมกันในการสร้างสันติภาพ การเจรจา และเสถียรภาพในภูมิภาค

ทั้งกัมพูชาและไทยได้บรรลุความเข้าใจร่วมกัน ดังต่อไปนี้

1. การหยุดยิงทันที โดยไม่มีเงื่อนไข มีผลตั้งแต่ เวลา 24.00 น. (เวลาท้องถิ่น) ของวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ซึ่งถือเป็นก้าวแรก ที่สำคัญในการลดความตึงเครียด และฟื้นฟูสันติภาพและความมั่นคง

2. การประชุมไม่เป็นทางการ ระหว่างผู้บัญชาการทหารภูมิภาค (กองทัพภาคที่ 1 และ 2 ของฝ่ายไทย และ กองทัพภาคที่ 4 และ 5 ของฝ่ายกัมพูชา) ในเวลา 07.00 น. ของวันที่ 29 กรกฎาคม 2568 และอาจมีการประชุมต่อเนื่อง กับผู้ช่วยทูตฝ่ายทหาร ภายใต้การนำของประธานอาเซียน หากทั้งสองฝ่ายเห็นชอบ

3. การประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ในวันที่ 4 สิงหาคม 2568 ซึ่งกัมพูชาจะเป็นเจ้าภาพ

ในฐานะประธานอาเซียนปัจจุบัน มาเลเซียพร้อมประสานงานจัดตั้งทีมผู้สังเกตการณ์ เพื่อตรวจสอบและรับรองการปฏิบัติตามข้อตกลง โดยจะหารือกับประเทศสมาชิกอาเซียนอื่นๆ เพื่อร่วมกันสนับสนุนภารกิจการสังเกตการณ์ ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในระดับภูมิภาคเพื่อสนับสนุนสันติภาพ

ทั้งสองฝ่ายยังตกลงที่จะ รื้อฟื้นช่องทางการสื่อสารโดยตรงระหว่างนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีต่างประเทศ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ของทั้งสองประเทศ

รัฐมนตรีต่างประเทศ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ของมาเลเซีย กัมพูชา และไทย ได้รับมอบหมายให้ร่วมกันจัดทำกลไกโดยละเอียด สำหรับการดำเนินการ ตรวจสอบ และรายงานผลการหยุดยิง ซึ่งกลไกนี้ จะเป็นพื้นฐานสำคัญต่อการสร้างสันติภาพอย่างยั่งยืน และความรับผิดชอบร่วมกันต่อไป

ในการแถลงข่าวร่วมกัน “ภูมิธรรม เวชยชัย” รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การหารือประสบความสำเร็จ ทั้ง 2 ฝ่าย เห็นพ้องร่วมกันยุติการยิง มีผลในเวลา 24.00 น. ของวันที่ 28 ก.ค.68 และกลับไปใช้กลไกทวิภาคี แก้ไขปัญหาความขัดแย้ง ซึ่งถือเป็นก้าวที่สำคัญในการลดทอนความรุนแรง และเริ่มฟื้นฟูสันติภาพความมั่นคงอีกครั้ง รวมถึงได้มีการหารืออย่างไม่เป็นทางการ โดยจะมีการประชุมระหว่างแม่ทัพภาค 1 และ 2 ของฝ่ายไทย และ กองทัพภาค 4 และ 5 ของกัมพูชา ในวันที่ 29 ก.ค.68 เวลา 7.00 น. อีกทั้ง จะมีการเชิญผู้ช่วยทูตทหารของอาเซียนมารับฟังการหารือของทั้งสองฝ่ายด้วย นอกจากนี้ไทยขอขอบคุณรัฐบาลจีน ที่แสดงความกังวล และความปรารถนาดี

ขณะที่ “ฮุน มาเนต” นายกรัฐมนตรีของกัมพูชา ก็แถลงในเนื้อหาสาระเดียวกัน ต่างกันเพียงแค่ตอนท้าย ที่ “ฮุนมาเนต” นอกจากของคุณ “อันวาร์ อิบราฮิม” นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ที่เสนอแนวคิด เป็นเจ้าภาพ อำนายความสะดวกในการเจรจาครั้งนี้ ยังของคุณ ประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” แห่งสหรัฐอเมริกา ที่ได้ให้การสนับสนุนกระบวนการเจรจา เพื่อการหยุดยิงโดยทันที และขอบคุณรัฐบาลจีน ที่สนับสนุน และให้กำลังใจแก่ทั้งสองฝ่าย ในการแสวงหาทางยุติการสู้รบ และ มีส่วนร่วมอย่างแข็งขัน ในการสนับสนุนการประชุมสำคัญครั้งนี้

เป็นการแสดงออกว่า กัมพูชา พอใจในผลการเจรจาครั้งนี้เป็นอย่างยิ่ง

“ภูมิธรรม” ให้สัมภาษณ์ เพิ่มเติมว่า การคุยครั้งนี้ ไม่มีเรื่องเปิดด่าน ปิดด่าน คุยแค่เรื่องการหยุดยิง ลดความเสียหายของพลเมืองอย่างเดียว หลังจากนี้ ก็จะเข้าสู่กลไกของ คณะกรรมการชายแดนทั่วไป หรือ GBC ซึ่งทหารทั้งสองฝ่าย จะมีบทบาทในการพูดคุย หาทางออก คือให้ทหารไปหาข้อสรุปหลังจากนี้

“ขอย้ำว่า การพูดคุยครั้งนี้ ได้คุยกับทางกองทัพด้วยว่า เหตุที่เกิดขึ้น ถ้าไม่มีอะไรสูญเสีย เรายินดี เพราะถือว่าอยู่ในจุดที่ปกป้องอธิปไตยของเราได้ ดังนั้นการยุติสงครามโดยเร็ว จะช่วยให้ชีวิตของประชาชน อย่างน้อย 160,000 คน ที่กำลังระเหเร่ร่อน และพักรักษาตัวอยู่ ไม่มีปัญหา ซึ่งข้อเสนอที่ให้หยุดยิงทันที เราได้หารือกับทางกองทัพ ในเวลาเที่ยงคืนวันนี้ ซึ่งทุกฝ่ายพอใจ และเวลา 07.00 น. วันที่ 29 กรกฎาคม กองทัพภาค 1 และ ที่ 2 ของไทย จะหารือร่วมกับกองพลของกัมพูชา ขณะนี้อยู่ระหว่างประสานงานพูดคุย โดยมอบให้ทหารเป็นผู้สรุปสุดท้าย”

ขณะที่ “พล.อ.ณัฐพล นาคพานิชย์” รมช.กลาโหม กล่าวว่า สถานการณ์ในปัจจุบัน กองทัพภาคที่ 2 และกองทัพภาคที่ 1 รักษาอธิปไตยได้เรียบร้อย โดยไม่มีพื้นที่ใดถูกรุกล้ำดินแดนเข้ามา

หลังจากนี้ กลไกที่จะทำต่อไป ตนเองก็จะกำกับกลไกตามขั้นตอน ไม่ว่าจะเป็นการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) และต่อด้วยการประชุมการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา (GBC) ซึ่งจะต้องใช้ระยะเวลาอีกระยะหนึ่ง และยืนยันต่อพี่น้องประชาชนคนไทยว่า กองทัพพร้อมปกป้องอธิปไตย และผลประโยชน์ของชาติอย่างเต็มขีดความสามารถ

ส่วน“มาริษ เสงี่ยมพงษ์” บอกว่า การที่เราเข้ามาถึงจุดตรงนี้ สามารถยุติข้อขัดแย้ง และการใช้กำลัง แสดงให้เห็นว่า เราเป็นสุภาพบุรุษ เป็นประเทศที่สนับสนุนความสันติ ไม่ได้มีความประสงค์ที่จะใช้กำลัง

ที่สำคัญคือ เราสามารถทำให้กัมพูชา กลับมาพูดคุยผ่านกลไกแบบทวิภาคี ที่มีอยู่ทั้ง 3 ระดับ ประกอบด้วย คณะกรรมการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (เจบีซี ) , คณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (อาร์บีซี) และคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย -กัมพูชา (จีบีซี) ซึ่งล้วนเป็นกลไกสำคัญ ที่นำไปสู่การเจรจาทวิภาคี อย่างสันติ


ทั้งนี้ หลังจากที่คนไทยได้ทราบผลการเจรจา ได้แสดงออกในโซเชียลฯ โดยตั้งคำถามกับ "ภูมิธรรม" หัวหน้าคณะเจรจาครั้งนี้ ว่าโอนอ่อนตามเขมร ไม่ไว้วางใจรักษาการนายกฯคนนี้ ทำไมยอมหยุดยิงโดยไม่มีเงื่อนไข แล้วผลักภาระไปให้ฝ่ายทหาร
ทำไมไทยไม่ใช้โอกาสในการเจรจาครั้งนี้ หยิบยกเรื่องการยกเลิก MOU 43 , MOU 44 รวมทั้งยกเลิกการใช้แผนที่ 1 ต่อ 200,000 แล้วใช้แผนที่ 1 ต่อ 50,000 มาเป็นเงื่อนไขที่ไทยต้องแสดงจุดยืน เพราะสิ่งเหล่านี้ คือต้นตอของปัญหา ชายแดน 800 กิโลเมตร จากอุบลราชธานี ไปยันทะเลจ.ตราด

และทั้งๆ ที่รู้ว่า การที่จะหันกลับไปใช้การเจรจาแบบทวิภาคิ ไม่ว่าในระดับ เจบีซี, อาร์บีซี หรือ จีบีซี ที่ผ่านมาตั้งไม่รู้กี่รอบ ล้วนไม่ได้ผล เพราะเขมรไม่เคยรักษาสัญญา

ที่สำคัญคือ ไม่มีการพูดถึงความรับผิดชอบที่เกิดขึ้นจากการกระทำของเขมร ต่อชีวิตของทหารไทย ต่อชีวิต และทรัพย์สินของประชาชนไทย รวมทั้งที่ต้องอพยพออกจากพื้นที่

ขณะเดียวกัน เมื่อมองไปทางฝั่งเขมร จะเห็นว่าเขาแสดงความยินดีกับผลการเจรจาครั้งนี้ เพราะสิ่งที่เขายกมาเคลม มาอ้าง ทุกอย่างยังเหมือนเดิม ไม่ต้องชดใช้ ไม่ต้องถูกตราหน้าว่าเป็นอาชญากรสงคราม ทั้งที่เปิดฉากโจมตีก่อน และโจมตีไปยังที่อยู่อาศัยของพลเรือน โรงเรียน โรงพยาบาล

เห็นได้ชัดจากการที่ “ฮุน มาเนต” กล่าวของคุณทั้งเจ้าภาพมาเลเซีย ขอบคุณสหรัฐอเมริกา ที่อยู่เบื้องหลังการประชุมครั้งนี้ และของคุณ จีน ที่ให้การสนับสนุน

ทำให้มีข้อสงสัยว่า หรือมี “ดีลลับ” ทำให้ต้อง “ปิดเกมเร็ว”

การเจรจาครั้งนี้ ไม่ใช่ “วิน-วิน” แต่ “เขมรวิน” ส่วนไทยได้เป็น “สุภาพบุรุษผู้เสียสละ” ยอมให้เขมรขี่คอตามเดิม

เรื่องจึงวกกลับมาที่ ความสูญเสียของทั้งฝ่ายไทย และเขมร ครั้งนี้ มีต้นเหตุมาจากความขัดแย้งของ สองตระกูล “ฮุน-ชินวัตร” แต่ประชาชนต้องมารับกรรม

แล้วอย่างนี้ คนไทย และคนเขมร จะยอมให้สองตระกูลนี้ ครองอำนาจต่อไปหรือ


กำลังโหลดความคิดเห็น