เกือบสองปีมานี้ ปลาหมอคางดำเคยถูกมองว่าเป็น “ปัญหาใหญ่” ของแหล่งน้ำและบ่อเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำไทย ทั้งในมิติของการแพร่ระบาด การแย่งอาหารปลาพื้นถิ่น และความเสียหายต่อผลผลิต แต่วันนี้ ภาพดังกล่าวกำลังเปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อชุมชน สถานศึกษา และหน่วยงานรัฐ เริ่มเข้าใจธรรมชาติของปลาชนิดนี้อย่างรอบด้าน และขยับจากความตื่นตระหนก ไปสู่การจัดการอย่างเป็นระบบ สมดุล และยั่งยืน
สิ่งที่เห็นได้ชัดคือ การตระหนักรู้ร่วมกันว่า ปลาหมอคางดำไม่ใช่ปัญหาที่จะแก้ได้ด้วยการ “ปล่อยทิ้ง” หรือหวังให้หมดไปเอง แต่ต้องอาศัยการนำปลาออกจากระบบนิเวศอย่างต่อเนื่อง ภายใต้ความเข้าใจทางวิชาการและความร่วมมือของคนในพื้นที่ โครงการ “ลงแขกลงคลอง” จึงกลายเป็นภาพสะท้อนการเปลี่ยนแปลงของสังคม จากเดิมที่ต่างคนต่างรับมือ สู่การลงแรงร่วมกันจับปลา ลดจำนวนในแหล่งน้ำ และฟื้นสมดุลของระบบนิเวศใกล้บ้าน
ควบคู่กันนั้น แนวคิด “เจอ-แจ้ง-จับ-แปรรูป” ได้ขับเคลื่อนการจัดการปลาหมอคางดำไปอีกขั้น ไม่ใช่เพียงการกำจัด แต่คือการใช้ประโยชน์อย่างรู้คุณค่า หลายพื้นที่พิสูจน์แล้วว่าปลาหมอคางดำสามารถแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อาหารได้จริงและปลอดภัย ตั้งแต่น้ำปลาแท้ 100% จากความร่วมมือของกรมราชทัณฑ์และกรมประมงในจังหวัดสมุทรสงคราม ไปจนถึงข้าวตังหน้าปลาหยองจากปลาหมอคางดำของโรงเรียนชุมชนวัดเกาะเพชร จังหวัดนครศรีธรรมราช รวมถึงผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นอีกหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นปลาแดดเดียว ปลาร้า และน้ำพริกปลา ที่สร้างรายได้เสริมให้ชุมชนพร้อมลดจำนวนปลาในธรรมชาติไปพร้อมกัน
การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้หยุดอยู่แค่การจับและแปรรูป แต่ยังขยายไปสู่การพัฒนาเครื่องมือในแบบฉบับของชุมชน ไปจนถึงนวัตกรรมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการกำจัดปลา ชุมชนและสถานศึกษาในพื้นที่ลุกขึ้นมาคิดและทำจริง เช่น นักศึกษาวิทยาลัยเทคนิคอัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม ที่ออกแบบหุ่นยนต์ต้นแบบปล่อยคลื่นเสียงในน้ำเพื่อไล่ปลาหมอคางดำ ก่อนนำไปทดลองใช้ในแหล่งน้ำจริงและได้ผลเป็นรูปธรรม นวัตกรรมจากฐานรากเช่นนี้สะท้อนพลังของการเรียนรู้ร่วมกัน และความเข้าใจปัญหาอย่างลึกซึ้งของคนในพื้นที่
ในอีกมิติหนึ่ง ปลาหมอคางดำยังถูกนำไปเพิ่มมูลค่าในห่วงโซ่อาหารและการเกษตร เช่น การใช้เป็นเหยื่อปลากะพง การเลี้ยงปูม้า การทำปลาป่น และการผลิตน้ำหมักชีวภาพ แนวทางเหล่านี้ช่วยเปลี่ยน “ต้นทุนปัญหา” ให้กลายเป็น “โอกาสทางเศรษฐกิจ” พร้อมสร้างแรงจูงใจให้ชุมชนเดินหน้าจับปลาอย่างต่อเนื่อง แทนการนิ่งนอนใจปล่อยให้ปลาแพร่กระจายเหมือนในอดีต
ทั้งหมดนี้สะท้อนชัดว่า การรับรู้ของสังคมต่อปลาหมอคางดำได้พัฒนาไปไกล จากความไม่เข้าใจ สู่การจัดการบนพื้นฐานของข้อเท็จจริง ชุมชนจำนวนมากรับรู้แล้วว่าไม่สามารถกำจัดปลาให้หมดสิ้นได้ แต่สามารถควบคุมจำนวนให้อยู่ในระดับที่ไม่กระทบระบบนิเวศ พร้อมฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพ และปกป้องปลาพื้นถิ่นซึ่งเป็นแหล่งอาหารสำคัญของมนุษย์
ก้าวต่อไปของสังคมไทย คือการเดินหน้าขยายผลกิจกรรมลงแขกลงคลอง และการแปรรูปปลาหมอคางดำให้ครอบคลุมมากขึ้น ทั้งในมิติของเศรษฐกิจชุมชน ความมั่นคงทางอาหาร และการอนุรักษ์แหล่งน้ำ หากทุกภาคส่วนยังคงร่วมมือกันอย่างจริงจัง ปลาหมอคางดำจะไม่ใช่เพียง “ปัญหาเรื้อรัง” แต่จะกลายเป็นบทเรียนสำคัญของการอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างรู้เท่าทัน และยั่งยืนในระยะยาว


