อธิบดีกรมศิลปากรชี้กัมพูชาละเมิดกติกาสากล ใช้โบราณสถานปราสาทตาควายเป็นที่มั่นทางทหาร ไทยจำเป็นต้องโจมตี ย้ำถึงพังทลายก็ซ่อมบูรณะได้หากยังอยู่ในเขตอธิปไตยไทย เมื่อ 50 ปีก่อนไม่มีเทคโนโลยีก้าวหน้ายังซ่อมปราสาทพิมาย-พนมรุ้งที่ซับซ้อนกว่าสำเร็จมาแล้ว
วันนี้ (15 ธ.ค.) นายพนมบุตร จันทรโชติ อธิบดีกรมศิลปากร แถลงกรณีปราสาทตาควาย โบราณสถานสำคัญของไทยในแนวชายแดน ได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์ปะทะระหว่างทหารกัมพูชากับทหารไทย โดยย้ำว่าโบราณสถานไม่ควรตกเป็นเป้าความเสียหายจากการสู้รบตามหลักสากลที่ประชาคมโลกยอมรับร่วมกัน
อธิบดีกรมศิลปากรกล่าวว่า เป็นที่ตระหนักกันดีว่าโบราณสถานทุกแห่งในโลกไม่ควรถูกใช้เป็นฐานที่มั่นหรือที่ตั้งกำลังทางทหาร รวมถึงไม่ควรถูกนำมาใช้ในการปฏิบัติการทางสงคราม ซึ่งเป็นหลักการที่ได้รับการรับรองในระดับนานาชาติผ่านสนธิสัญญาและกติกาต่างๆ
สำหรับกรณีปราสาทตาควาย นายพนมบุตรระบุว่า เป็นข้อเท็จจริงที่ปรากฏชัดว่า กองกำลังทหารกัมพูชาได้ใช้โบราณสถานแห่งนี้เป็นที่มั่นหรือเป็นจุดซ่องสุมกำลัง ซึ่งถือเป็นการละเลยและฝ่าฝืนกติกาสากลอย่างชัดเจน และเมื่อเกิดการใช้โบราณสถานเป็นที่มั่นทางทหาร ย่อมทำให้ฝ่ายไทยมีความจำเป็นต้องปฏิบัติการทางทหารเพื่อปกป้องอธิปไตยของประเทศ โดยผลจากการปะทะในพื้นที่ดังกล่าวเป็นเรื่องยากที่จะหลีกเลี่ยงความเสียหายต่อโบราณสถาน
อธิบดีกรมศิลปากรกล่าวถึงคำถามที่ได้รับบ่อยครั้งเกี่ยวกับการฟื้นฟูบูรณะปราสาทตาควายว่า หากกรมศิลปากรมีโอกาสเข้าดำเนินการซ่อมแซม ไม่ว่าจะเป็นปราสาทตาควายหรือโบราณสถานอื่นใดที่อยู่ในอาณาเขตประเทศไทย ยืนยันอย่างหนักแน่นว่าสามารถบูรณะกลับคืนมาได้อย่างแน่นอน โดยมีตัวอย่างเชิงประจักษ์จากการบูรณะปราสาทหินพนมรุ้ง ปราสาทหินพิมาย และปราสาทหินสด็อกก๊อกธม ซึ่งล้วนเคยอยู่ในสภาพปรักหักพังและมีความซับซ้อนทางสถาปัตยกรรมมากกว่าปราสาทตาควาย
นายพนมบุตรอธิบายว่า วิธีการบูรณะของกรมศิลปากรใช้หลัก “อานัสติโลซิส” ซึ่งเป็นการรื้อออกมา บันทึกตำแหน่งหินแต่ละก้อนอย่างละเอียด แล้วนำกลับไปประกอบใหม่บนโครงสร้างที่มั่นคง โดยวิธีนี้ประสบความสำเร็จมาแล้วกับการบูรณะปราสาทหินพนมรุ้งและปราสาทหินพิมาย เมื่อราว 50 ปีก่อน ทั้งที่ในขณะนั้นเทคโนโลยียังไม่ก้าวหน้าเท่าปัจจุบัน
อธิบดีกรมศิลปากรระบุว่า ปัจจุบันกรมศิลปากรมีองค์ความรู้ ประสบการณ์ และเทคโนโลยีที่ทันสมัยมากขึ้น ปราสาทตาควายซึ่งมีขนาดเล็กกว่าและมีความซับซ้อนน้อยกว่า จึงไม่เกินขีดความสามารถในการบูรณะอย่างแน่นอน พร้อมยืนยันให้ประชาชนมั่นใจว่ากรมศิลปากรสามารถซ่อมแซมและฟื้นฟูให้กลับมาใกล้เคียงหรือสมบูรณ์กว่าสภาพเดิมได้
อย่างไรก็ตาม นายพนมบุตรย้ำว่า กรมศิลปากรมีอำนาจบูรณะโบราณสถานได้เฉพาะที่ตั้งอยู่ในอาณาเขตประเทศไทยเท่านั้น หากพื้นที่ตั้งของโบราณสถานตกไปอยู่นอกอธิปไตยไทย กรมศิลปากรจะไม่สามารถเข้าไปดำเนินการใดๆ ได้ ดังนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการรักษาผืนแผ่นดินซึ่งเป็นที่ตั้งของโบราณสถานเหล่านี้เอาไว้
อธิบดีกรมศิลปากรสรุปว่า เหตุการณ์ครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่าฝ่ายกัมพูชาเป็นผู้ละเมิดกติกาของโลก ขณะที่ฝ่ายไทยจำเป็นต้องใช้ปฏิบัติการทางทหารเพื่อรักษาอธิปไตยของประเทศ ส่วนความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสงครามสามารถฟื้นฟูได้ด้วยกระบวนการบูรณะและการอนุรักษ์ พร้อมส่งกำลังใจให้กำลังพลทหารไทย และย้ำว่าทุกฝ่ายต่างทำหน้าที่ของตนเพื่อเป้าหมายเดียวกัน คือการรักษาชาติ โดยกรมศิลปากรพร้อมดำเนินการบูรณะและยืนยันว่าซ่อมได้อย่างแน่นอน


