การมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคม องค์กรไม่แสวงหากำไร นักวิชาการ และสื่อมวลชน เป็นหัวใจของสังคมประชาธิปไตย เพราะช่วยตรวจสอบอำนาจรัฐและเอกชน ปกป้องสิ่งแวดล้อมและสะท้อนประเด็นสาธารณะ อย่างไรก็ตาม การคุ้มครองการสื่อสารเพื่อประโยชน์สาธารณะต้องเดินควบคู่กับความถูกต้องของข้อเท็จจริง และความรับผิดชอบต่อผลกระทบที่เกิดขึ้น
แนวคิด SLAPP (Strategic Lawsuit Against Public Participation) ถูกพัฒนาขึ้นเพื่ออธิบายการฟ้องคดีที่มุ่งหมาย “ปิดปาก” หรือข่มขู่ผู้ที่แสดงความคิดเห็นต่อสาธารณะ โดยใช้อำนาจทางกฎหมายเป็นเครื่องมือ มากกว่าที่จะมุ่งแสวงหาความยุติธรรมที่แท้จริง ขณะเดียวกัน Anti-SLAPP ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นเกราะคุ้มกันให้การสื่อสารที่ขาดการตรวจสอบ หรือการกล่าวอ้างเกินจริง (overclaim) หลุดพ้นจากความรับผิดโดยอัตโนมัติ
หลักการสากลย้ำตรงกันว่า เสรีภาพในการแสดงออกต้องตั้งอยู่บนข้อมูลที่ตรวจสอบได้ ความสุจริตใจ และความรับผิดชอบต่อสังคม ตัวอย่างเช่น กฎหมาย Anti-SLAPP ของสหภาพยุโรปฉบับใหม่ กำหนดกลไก “การยกฟ้องตั้งแต่ต้น (early dismissal)” เพื่อปกป้องผู้ที่ถูกฟ้องโดยมิชอบจากคดีที่ไม่มีมูลหรือใช้ศาลในทางที่ผิด ขณะเดียวกัน ยังสงวนสิทธิของผู้เสียหายจริง ที่ได้รับความเสียหายจากข้อมูลเท็จหรือบิดเบือนไว้อย่างครบถ้วน กล่าวคือ หากศาลเห็นว่า คดีมีลักษณะชัดแจ้งว่าเป็นการฟ้องเพื่อข่มขู่หรือปิดปาก ศาลสามารถยุติคดีได้ตั้งแต่แรก แต่ถ้าคดีมีมูล และข้อมูลที่เผยแพร่ก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรง ผู้เสียหายยังคงมีสิทธิดำเนินคดีต่อไปตามกระบวนการปกติ
บทเรียนจากแคนาดา คำพิพากษาของศาลสูงแคนาดาในคดี Hansman v. Neufeld วางหลักชัดเจนว่า การพิจารณาคดี Anti-SLAPP ต้องชั่งน้ำหนักสิทธิที่ขัดกันอย่างรอบคอบ ไม่ให้สิทธิของฝ่ายหนึ่งไปละเมิดอีกฝ่ายหนึ่ง เห็นได้จากสถิติในปี 2023 สะท้อนว่า ศาลแคนาดาจำนวนมากอนุญาตให้คดีดำเนินต่อ เมื่อโจทก์สามารถแสดงให้เห็นความเสียหายร้ายแรง และจำเลยไม่มีข้อแก้ต่างที่หนักแน่นเพียงพอ
ดังนั้นการอ้าง Anti-SLAPP จะสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อการแสดงออกนั้นมีคุณภาพ ยืนอยู่บนหลักฐาน ไม่ใช่เพียงการกล่าวหาโดยขาดการตรวจสอบ
ส่วนกฎหมายอังกฤษปี 2023 เปิดทางให้ศาลยกฟ้องเร็วในคดีที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ แต่คดีสาธารณะด้านอื่น เช่น คดีหมิ่นประมาททั่วไป ยังต้องเข้าสู่กระบวนการปกติ การพิจารณาในลักษณะนี้สะท้อนว่า การอ้างว่าเป็น SLAPP เพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ ต้องพิสูจน์ได้ว่ามีการ “ใช้กระบวนการศาลในทางที่ผิด” อย่างแท้จริง
ประเทศไทยเริ่มมีกรอบ Anti-SLAPP อย่างจำกัด ผ่านการแก้ไข พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 คุ้มครองการแจ้งเบาะแสคอร์รัปชันโดยสุจริตต่อ ป.ป.ช. พร้อมมาตรการช่วยเหลือทางกฎหมาย อย่างไรก็ดี กรอบนี้ ยังไม่ครอบคลุมคดีหมิ่นประมาทหรือการฟ้องปิดปากในบริบทสาธารณะทั้งหมด
ด้วยเหตุนี้ องค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ เช่น International Commission of Jurists (ICJ) จึงเสนอให้ประเทศไทยพัฒนากฎหมาย Anti-SLAPP ในกรอบที่กว้างขึ้น เพื่อรองรับการใช้กระบวนการศาลในทางที่ผิดทุกรูปแบบ โดยไม่บั่นทอนสิทธิของผู้เสียหายที่แท้จริง
ในทางปฏิบัติ รายงานและคำพิพากษาหลายคดีสะท้อนว่า ศาลไทยมีบทบาทเชิงรุกในการกลั่นกรองพฤติกรรมคู่ความ เช่น การยกฟ้องคดีที่เห็นได้ชัดว่าเป็นการถ่วงเวลา หรือขาดพยานหลักฐาน โดยเฉพาะในคดีที่เกี่ยวข้องกับผู้พิทักษ์สิทธิมนุษยชน ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางสากล
องค์กรภาคประชาสังคมและองค์กรไม่แสวงกำไร ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อสาธารณะ ต้องยึดมาตรฐานความถูกต้อง เปิดเผยแหล่งข้อมูล และกระบวนการตรวจสอบ เพื่อให้ศาลสามารถพิจารณาข้อเท็จจริงได้อย่างเป็นธรรม ขณะที่ ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากข้อมูลผิดหรือบิดเบือน ยังคงมีสิทธิใช้กระบวนการศาลคุ้มครองชื่อเสียง หากพิสูจน์ความเสียหายร้ายแรงและไม่มีข้อแก้ต่างเพียงพอ
หัวใจของ Anti-SLAPP ที่สมดุลควรกลั่นกรองคดีที่ไม่มีมูลหรือใช้กระบวนการศาลในทางที่ผิดอย่างรวดเร็ว, ไม่ตัดสิทธิของผู้เสียหายจากข้อมูลเท็จ, เปิดช่องให้ผู้เชี่ยวชาญ นักวิชาการ หรือองค์กรอิสระ (amicus curiae) เข้ามาให้ข้อมูล เพื่อยกระดับคุณภาพข้อเท็จจริงต่อศาล ไม่ให้การตัดสินจำกัดอยู่เพียงข้อมูลของคู่ความสองฝ่าย
เห็นได้ว่า SLAPP ไม่ใช่หลุมหลบภัยจากความผิด และ Anti-SLAPP ไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อคุ้มครองการสื่อสารที่ขาดความรับผิดชอบ การใช้ที่ถูกต้องคือ ป้องกันการฟ้องคดีที่มุ่งปิดปากการตรวจสอบสาธารณะซึ่งตั้งอยู่บนข้อเท็จจริง พร้อมกันนั้นต้อง บังคับความรับผิด เมื่อการสื่อสารก่อให้เกิดความเสียหายจากข้อมูลผิดหรือการกล่าวอ้างที่ไม่เป็นความจริง


