xs
xsm
sm
md
lg

งานวิจัยภาษีบุหรี่ชี้ชัด ภาษีอัตราเดียวให้ผลดีที่สุด

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



นับตั้งแต่วันที่ 16 กันยายน 2560 ที่รัฐบาลเริ่มมีใช้เก็บภาษีสรรพสามิตยาสูบตามอัตรามูลค่า 2 อัตราโดยแบ่งแยกระดับภาษีบุหรี่ราคาถูกกับบุหรี่ราคาแพง (ไม่เกิน 72 บาทและเกิน 72 บาทต่อซอง) ให้เสียภาษีในอัตราที่แตกต่างกันร้อยละ 25 และร้อยละ 42 ของราคาขาย และจัดเก็บภาษีปริมาณอีก 1.25 บาทต่อมวนหรือ 25 บาทต่อซอง ผลที่ตามมากลับทำให้ความสามารถในการจัดเก็บภาษียาสูบของกรมสรรพสามิตในปี 2568 ลดลงกว่า 21,000 ล้านบาท จากที่เคยเก็บได้ในปี 2560 ในขณะที่การยาสูบแห่งประเทศไทยที่เคยมีความสามารถในการนำส่งภาษีให้กับภาครัฐสูงถึง 6,395 ล้านบาท ในปี 2560 เหลือเพียง 492 ล้านบาทในปี 2568 จนเกิดความจำเป็นในการที่กรมสรรพสามิตและกระทรวงการคลังต้องพิจารณาทบทวนปรับเปลี่ยนแนวทางการจัดเก็บภาษีบุหรี่ใหม่เพื่อไปใช้อัตราภาษีมูลค่าอัตราเดียวตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา

สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง ได้เผยแพร่โครงการวิจัย เรื่อง “การศึกษาเพื่อพัฒนาโครงสร้างภาษีสรรพสามิตยาสูบ เพื่อเสนอแนวทางการปฏิรูปภาษีสรรพสามิตยาสูบที่เหมาะสมกับประเทศไทย” โดยสรุปสาระสำคัญของงานวิจัยได้ ดังนี้
1.ประเทศไทยมีการใช้อัตราภาษีมูลค่า 2 อัตรา ตามราคาขายปลีก ซึ่งไม่สอดคล้องกับคำแนะนำขององค์การอนามัยโลกที่เสนอแนะให้ใช้โครงสร้างระบบภาษียาสูบที่มีความเรียบง่าย (Simplifying) เพราะระบบภาษีที่ซับซ้อนมีต้นทุนในการบริหารการจัดเก็บสูง ก่อให้เกิดการเลี่ยงภาษี และนำไปสู่การสร้างผลิตภัณฑ์ที่เสียภาษีต่ำ แทนผลิตภัณฑ์ที่เสียภาษีในอัตราสูง ซึ่งส่งผลกระทบต่อโครงสร้างตลาดและพฤติกรรมการบริโภค ดังนั้น ประเทศไทยควรมีระบบภาษียาสูบเป็นโครงสร้างแบบอัตราเดียว (Single Uniform Tax) เพื่อตอบโจทย์เรื่องความอันตรายของผลิตภัณฑ์ที่บุหรี่ทุกยี่ห้อทุกแบรนด์ต่างก็มีความอันตรายเท่ากัน (Equally harmful)

2.ระบบภาษียาสูบตามอัตรามูลค่า 2 อัตราที่ไทยใช้อยู่ไม่ได้ลดแรงจูงใจในการบริโภคคยาสูบของประชาชน และสร้างผลกระทบต่อผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในหลายมิติ ทำให้เกิดการแข่งขันด้านราคาระหว่างบุหรี่ในประเทศและนอกประเทศเพิ่มขึ้น ดังนั้น เครื่องมือภาษีและกลยุทธ์ด้านราคาอาจไม่ใช่แนวทางที่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควรสำหรับการยาสูบฯ ซึ่งควรพึ่งพากลยุทธ์การตลาดและการพัฒนาคุณภาพมากขึ้น

3.การปรับนโยบายภาษีสรรพสามิตยาสูบในระยต่อไปควรพิจารณาถึง 5 ปัจจัยหลัก ได้แก่ รายได้รัฐ รายได้เกษตรกรยาสูบ การบริโภคยาสูบ การป้องกันการนำเข้ายาสูบผิดกฎหมาย และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้ผลิตรายใหญ่ ทั้งนี้ รายงานฯ ได้คำนวณและเสนออัตราภาษีมูลค่าอัตราเดียวที่เหมาะสมภายใต้สมมติฐานต่างๆ เพื่อเป็นทางออกในการปรับโครงสร้างภาษีบุหรี่ต่อไป โดยในระยะยาวควรพัฒนากลไกการปรับอัตราภาษีตามปริมาณให้สามารถเพิ่มขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อได้ เช่นเดียวกับประเทศออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ที่มีการเก็บภาษีสรรพสามิตยาสูบอัตราเดียวตามปริมาณและมีการกำหนดปรับอัตราภาษีตามดัชนีราคาผู้บริโภคเป็นประจำ


เช่นเดียวกับที่ ศ.ดร.อรรถกฤต ปัจฉิมนันท์ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ ผศ.ดร.มานา ปัจฉิมนันท์ คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ได้เคยเผยแพร่งานวิจัยเรื่อง การศึกษาประสิทธิภาพของนโยบายอัตราภาษีสรรพสามิตยาสูบในประเทศไทย ในวารสารธรรมศาสตร์ ปีที่ 41 ฉบับที่ 1 เคยแสดงความคิดเห็นถึงปัญหาของโครงสร้างภาษีบุหรี่สรุปได้ดังนี้

1. ควรใช้อัตราภาษีอัตราเดียว (Uniform tax rate) สำหรับผลิตภัณฑ์ยาสูบประเภทเดียวกันเพื่อความเรียบง่าย ซึ่งจะช่วยป้องกันไม่ให้ผู้ประกอบการบุหรี่ลดราคาบุหรี่หรือออกสินค้าใหม่ที่มีราคาถูกลง เพื่อจะได้เสียภาษีในอัตราที่ลดลงได้เหมือนในระบบภาษีที่มีหลายขั้นอัตราภาษี ดังนั้น จึงควรรวมอัตราภาษีตามมูลค่าของบุหรี่เป็นอัตราเดียวทันที โดยกำหนดอัตราภาษีมูลค่าอัตราเดียวใหม่ที่เหมาะสมกับกำลังซื้อของผู้บริโภค ไม่สูงจนเกินไป โดยจะทำให้รายได้ภาษีสรรพสามิตยาสูบเพิ่มขึ้น และไม่ส่งเสริมการหันไปใช้สินค้าทดแทน

2. ภาษีบุหรี่อัตราเดียวยังช่วยเพิ่มความหลากหลายด้านราคาของบุหรี่ให้ผู้บริโภคได้เลือกกันมากขึ้น ลดการกระกระจุกตัวที่บุหรี่เทียร์ล่าง และส่งผลดีต่อการขายใบยาสูบของชาวไร่ยาสูบที่ขายให้กับการยาสูบฯ และผลการดำเนินงานของการยาสูบฯ ด้วย เพราะสามารถกำหนดระดับราคาบุหรี่ได้หลากหลาย ช่วยสร้างช่องว่างราคาระหว่างบุหรี่ในประเทศและต่างประเทศมากขึ้น ทำให้การยาสูบฯ แข่งขันได้ดีขึ้น และช่วยเพิ่มความสามารถในการทำกำไร โดยแก้ไขปัญหาภาระภาษีต่อซองที่สูงจนเกินไป โดยระดับภาระภาษีที่เหมาะสมไม่ควรสูงจนเกินไป และควรอยู่ในระดับร้อยละ 70-75 ของราคาขาย ซึ่งเป็นระดับที่องค์การอนามัยโลกแนะนำว่าเหมาะสมว่าเป็นแนวปฏิบัติที่ดี

เห็นได้ว่าทั้งรายงานการวิจัยที่จัดทำโดยภาครัฐเองและความเห็นจากนักวิชาการที่เชี่ยวชาญด้านภาษียาสูบนั้นเป็นไปในทิศทางเดียวกัน คือการจัดเก็บภาษีบุหรี่ 2 อัตรานั้น ขาดประสิทธิภาพทั้งในแง่การลดจำนวนผู้สูบบุหรี่ การจัดเก็บรายได้ที่น้อยกว่าที่ควรจะเป็น กระตุ้นให้เกิดบุหรี่ผิดกฎหมาย รวมทั้งสร้างผลกระทบต่อเกษตรกรชาวไร่ยาสูบและการยาสูบแห่งประเทศไทยอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ดังนั้น รายงานวิจัยทั้งสองฉบับจึงได้เสนอให้มีการปรับเปลี่ยนไปใช้โครงสร้างภาษีอัตราเดียวทันที ซึ่งก็สอดคล้องกับแนวทางการปรับโครงสร้างภาษีบุหรี่อัตราเดียวที่กรมสรรพสามิตจัดทำอยู่และมีแผนว่าจะเสนอกระทรวงการคลังและคณะรัฐมนตรีในเดือนธันวาคมนี้ งานนี้คงต้องรอลุ้นว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ดร. เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ จะสามารถแก้ไขปัญหาเรื้อรังทางการคลังที่ถูกปล่อยให้คาราคาซังไม่ได้รับการตัดสินใจจากยุคสมัย 5 รัฐมนตรีก่อนหน้าหรือไม่


กำลังโหลดความคิดเห็น