มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) ร่วมกับสำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สป.อว.) และหน่วยงานในสังกัดอย่างสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) ได้เปิดตัวโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการ “การประยุกต์ใช้ AI เพื่อการเรียนการสอนระดับอุดมศึกษา” ประจำปี 2568 เพื่อขับเคลื่อนนโยบาย “AI for Education” ของกระทรวง อว. โดยมีเป้าหมายพัฒนาศักยภาพอาจารย์ในสถาบันอุดมศึกษาทั่วประเทศให้สามารถใช้เครื่องมือ AI ออกแบบการเรียนรู้เชิงรุกได้อย่างเหมาะสม
โครงการนี้กำหนดจัดอบรมรวม 5 ครั้ง ครอบคลุมสถาบันอุดมศึกษาใน 5 ภูมิภาค ระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2568 ถึงเดือนมกราคม 2569 โดยตั้งเป้าหมายรวมบุคลากรผู้เข้าร่วม 500 คน โดยเมื่อวันที่ 17-18 พฤศจิกายน 2568 ที่ผ่านมา ได้มีการอบรมครั้งแรกจัดขึ้น ณ มหาวิทยาลัยขอนแก่น โดยมีผู้บริหารและคณาจารย์กว่า 120 ท่านจาก 31 สถาบันในภาคตะวันออกเฉียงเหนือเข้าร่วมทดลองใช้ “Abdul Uni” แพลตฟอร์มซึ่งเป็นเครื่องมือ AI Tutor ที่ เนคเทค สวทช. พัฒนาขึ้นโดยอิงกับแนวคิดหลักของ DPU AI Teaching Assistant เพื่อลดภาระงานของผู้สอน แพลตฟอร์มนี้ยังเปิดโอกาสให้อาจารย์สามารถออกแบบและสร้างผู้ช่วยสอน AI ที่มีบทบาทและบุคลิกเฉพาะตามรายวิชาได้อย่างเฉพาะเจาะจง ซึ่งเป็นคุณสมบัติสำคัญที่ไม่มีในเครื่องมือ AI ทั่วไป
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ธิติพงศ์ ตันประเสริฐ รองประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนโครงการ AI Embedded Education ของ DPU และผู้พัฒนาระบบ AI เปิดใจว่ากิจกรรมครั้งนี้ถือเป็นการเปิดฉากนำร่องที่สะท้อนถึงความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างมหาวิทยาลัยและหน่วยงานวิจัยระดับชาติ และทั้งหมดเป็นส่วนหนึ่งของ Action Plan ภายใต้บันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ที่กำลังจะลงนามร่วมกันระหว่าง DPU กับ สวทช.
ปัจจุบันธุรกิจ AI ได้รับการลงทุนสูงที่สุดในโลก การแข่งขันที่เข้มข้นทำให้ทุกภาคส่วนไม่สามารถนิ่งเฉย แต่ต้องปรับตัวเพื่อเกาะตามคลื่นความก้าวหน้า อย่างไรก็ตามแนวคิดหลักของ DPU ไม่ได้มุ่งใช้ AI มาแทนระบบการเรียนการสอนเดิม หากแต่ใช้เพื่อ “เสริม Power” ให้อาจารย์ เปลี่ยนบทบาทจากผู้ถ่ายทอดความรู้ไปสู่ผู้จัดการการเรียนรู้ที่สามารถออกแบบกระบวนการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
หนึ่งในนวัตกรรมที่ DPU พัฒนาขึ้นคือ “DPU AI Teaching Assistant” โปรแกรมแชทที่อาจารย์สามารถกำหนดบทบาทและบุคลิกเฉพาะของ AI สำหรับแต่ละรายวิชาได้ ด้วยเหตุนี้ ความสามารถในการจำกัดบทบาทที่ชัดเจนจึงช่วยลดโอกาสที่ AI จะให้ข้อมูลคลาดเคลื่อน เพราะระบบถูกออกแบบให้ยึดตามคำสั่งของอาจารย์เป็นลำดับความสำคัญสูงสุด ทำให้ AI สามารถรักษาบุคลิกและขอบเขตการตอบได้อย่างต่อเนื่อง
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ธิติพงศ์ ยังอธิบายถึงหลักการทำงานเชิงนวัตกรรมของ DPU AI Teaching Assistant โดยเน้นว่าความแตกต่างสำคัญอยู่ที่ความสามารถของระบบในการรักษาบทบาทที่อาจารย์กำหนดไว้ได้อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าผู้เรียนจะมีการสนทนาที่ยืดยาวแค่ไหนก็ตาม ซึ่งช่วยให้การใช้งานมีความจำเพาะเจาะจงและเชื่อถือได้มากกว่า AI ทั่วไป ทำให้สามารถปรับแต่ง (Customize) และนำไปใช้งานจริง (Deploy) ให้กับบุคคลอื่นได้
“ระบบที่เรา Customize ตัว AI มันจะยึดสิ่งนั้นไว้ก่อนเป็นหลักเสมอ ไม่ว่าเราจะส่งการสนทนาที่ยาวไปแค่ไหนก็ตาม สิ่งที่เราสั่งการให้ AI เป็นนั้น จะกลายเป็นลำดับความสำคัญสูงสุดเสมอ เพราะฉะนั้น AI จึงจะคงคุณลักษณะนั้นไว้ได้ตลอดเวลา ซึ่งเป็นมุมมองที่แตกต่างจากการใช้เครื่องมือสำเร็จรูปที่ถูกจูนมาเฉพาะทางอยู่แล้วอย่าง Canva และ Gemini เพราะ DPU AI Teaching Assistant เปิดโอกาสให้อาจารย์สร้าง AI ที่ไม่มีในท้องตลาด ขึ้นมาใช้เองได้”
สำหรับกิจกรรมอบรม ทีมวิทยากรจาก DPU ได้นำเสนอ Use Case หลากหลาย ซึ่งในการอบรมครั้งแรก ณ มหาวิทยาลัยขอนแก่น วิทยากรหลักจาก DPU ประกอบด้วย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ธิติพงศ์ ตันประเสริฐ (ผู้บรรยายเรื่องแนวคิดและการเรียนรู้แบบ Active Learning ร่วมกับ AI), อาจารย์ภควดี วรรณพฤกษ์ (คณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม), Miss Simran Kayastha (วิทยาลัยนานาชาติ IC-DPU) และ อาจารย์สิรภพ รุจรัตนพล (วิทยาลัยบริหารธุรกิจนวัตกรรมและการบัญชี CIBA-DPU)
ตัวอย่างที่น่าสนใจจากการอบรม คือ การนำเสนอของอาจารย์ภควดี ซึ่งได้มีการใช้ AI Chatbot กระตุ้นการค้นหาข้อมูลและความคิดสร้างสรรค์ผ่านกิจกรรมบทบาทสมมุติ โดยมีการสร้างตัวละครที่มีความละเอียดสูง เช่น ตัวละครนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นชื่อ “ฮิโรชิ” และคุณยายวัย 90 ที่มีปัญหาการได้ยิน เพื่อฝึกนักศึกษาผู้ช่วยพยาบาลในการดึงข้อมูลจากผู้ป่วยในสถานการณ์ที่ใกล้เคียงกับการทำงานจริง
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ธิติพงศ์ อธิบายว่า การฝึกปฏิบัติลักษณะนี้ไม่ได้เน้นว่าบทสนทนาจะจบลงอย่างไร แต่ต้องการให้นักศึกษามุ่งไปที่ “กระบวนการรับมือ” ตั้งแต่การตั้งคำถาม การสังเกต การประเมินสถานการณ์ ไปจนถึงการใช้ทักษะที่เรียนมาอย่างถูกต้อง ซึ่งจะทำให้ผู้เรียนรู้สึกเหมือนกำลังเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ของจริงในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและพร้อมให้ลองผิดลองถูก
กรณีศึกษานี้ยังช่วยจำลองสถานการณ์ซับซ้อนที่ปกติอาจต้องใช้เวลามากและมีค่าใช้จ่ายสูงในการจัดหาประสบการณ์จริง นักศึกษาจึงสามารถฝึกได้บ่อยครั้งเท่าที่ต้องการ และเปิดโอกาสให้ทุกกลุ่มในห้องเรียนได้ลงมือปฏิบัติพร้อมกันโดยไม่ติดข้อจำกัดด้านเวลาและทรัพยากร
ภายในการอบรมยังมีการนำเสนอการใช้ “AI Teaching Assistance Bot” ในรายวิชา IBM โดย Miss Simran Kayastha รวมถึงการใช้ AI กระตุ้นการระดมความคิดในชั้นเรียน โดยคณาจารย์ DPU ได้นำแนวทางนี้ไปทดลองใช้งานแล้วกว่า 19 รายวิชา ครอบคลุม 10 หลักสูตร และสามารถผสานเข้ากับโครงสร้างเดิมของการเรียนการสอนได้อย่างราบรื่น ช่วยเสริมประสิทธิภาพทั้งในด้านการสอนและการเรียนรู้โดยไม่กระทบเป้าหมายหลักของแต่ละรายวิชา
นอกจากนี้ยังสร้างรากฐานทักษะสำคัญที่จำเป็นในโลกยุคใหม่ ทั้ง Critical Thinking, Systematic Thinking และ AI Literacy หรือทักษะในการสื่อสารและควบคุม AI ซึ่ง ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ธิติพงศ์ ย้ำว่า “AI Literacy ก็ถือเป็นทักษะในการดีล หรือการสื่อสารกับปัญญาประดิษฐ์ได้อย่างมีระบบและมีเป้าหมาย ซึ่งแตกต่างจากการใช้ AI เพื่อค้นหาข้อมูลทั่วไป ที่เป็น Search engine เพราะนักศึกษาต้องตอบโต้ เพื่อเข้าไปสู่เป้าหมายการเรียน ดังนั้นจะไม่มีการข้ามขั้นหรือบทเรียน”
รองประธานคณะกรรมการขับเคลื่อน AI Embedded Education - DPU ยังระบุเสริมว่า ผู้บริหารมหาวิทยาลัย นำโดย ดร.ดาริกา ลัทธพิพัฒน์ อธิการบดี ผศ.ดร.พัทธนันท์ เพชรเชิดชู รองอธิการบดีสายงานวิชาการ และ ผศ.ดร.ศิริเดช คำสุพรหม รองอธิการบดีสายงานภาคีสัมพันธ์และประธานคณะกรรมการขับเคลื่อน มีนโยบายชัดเจนในการผลักดันให้ DPU ก้าวสู่การเป็นผู้นำด้าน AI ในปีหน้า โดยตั้งเป้าให้ทุกคณะมีการใช้งาน AI ครอบคลุม 100% รูปแบบที่พัฒนาขึ้นภายในโครงการนี้จึงถูกมองว่าเป็นทั้ง Resource และ Blueprint ทางด้าน Pedagogy ที่สามารถนำไปปรับใช้และขยายผลต่อยอดในสถาบันอื่นได้ทั่วประเทศ
ในเชิงกลยุทธ์รูปแบบดังกล่าวยังสามารถแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างของการศึกษาแบบดั้งเดิม และเป็น “Safe Way” หรือวิธีที่ปลอดภัยที่สุดในการเริ่มต้นใช้ AI ในสถานศึกษา ขณะที่อาจารย์ผู้สอนสามารถใช้ AI แบบควบคุมได้ เพื่อสร้างผู้ช่วยสอนตามจินตนาการและบริบทการเรียนการสอนของตนเอง โดยไม่ถูกจำกัดด้วยเครื่องมือสำเร็จรูปที่ไม่ตอบโจทย์เฉพาะทาง
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ธิติพงศ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า “ความคุ้นเคยและความยืดหยุ่นกับ AI” เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากเทคโนโลยี AI พัฒนาอย่างรวดเร็วเกินกว่าที่จะวางแผนล่วงหน้าได้ในระยะยาว การเรียนรู้ที่จะรับมือกับการเปลี่ยนแปลงและการโต้ตอบของ AI จึงเป็นทักษะที่จำเป็นสำหรับทั้งผู้เรียนและผู้สอน เพื่อให้สามารถปรับตัวได้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงในอนาคต
ทั้งนี้ การจัดอบรมใน 5 ภูมิภาค ยังคงมีกำหนดการต่อเนื่องในอีก 4 ครั้ง โดยจะจัดต่อเนื่องไปจนถึงเดือนมกราคม 2569 โดยจะจัดขึ้นที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ จังหวัดสงขลา, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม, มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี จังหวัดนครราชสีมา เพื่อให้ครอบคลุมบุคลากรการศึกษาตามเป้าหมายของกระทรวง อว.


