xs
xsm
sm
md
lg

ทุ่มทุนหลักแสนปั้นพอร์ตไม่ติดแพทย์ ม.ดัง ศัลยแพทย์ไขปริศนาพอร์ตเน้นกิจกรรม "ผิดทาง" คณะต้องการ "แก่น" ของความเป็นหมอ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ความพ่ายแพ้ในรอบ Portfolio แพทย์ ไม่ใช่จุดจบของความฝัน แต่คือบทเรียนที่ต้องเรียนรู้ให้ถูกกติกา ศัลยแพทย์ดัง เปิดเผยเหตุผลที่ต้อง "ไม่ให้ผ่าน" Portfolio ที่แม้จะดีมากและแสดงถึงความสามารถที่เหนือกว่าค่าเฉลี่ยของเด็กทั่วไป แต่กลับไม่ตอบโจทย์ความคาดหวังของคณะแพทย์ที่ต้องการความลึกซึ้งเฉพาะทาง ชี้ทางสว่างให้ผู้สมัครรุ่นต่อไปว่า องค์ประกอบสำคัญที่ขาดหายไปคือ งานวิจัยที่ได้คะแนนสูงมาก และ เรื่องเล่าที่ทำให้กรรมการ "เชื่อ" ในตัวเด็ก ว่าอยากเป็นหมอจริง ๆ

จากกรณี ไม่ผ่านการคัดเลือกในรอบ Portfolio (TCAS รอบ 1) ของคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น (มข.) ได้กลายเป็นประเด็นที่น่าสนใจและสร้างความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับสนามการแข่งขันที่ดุเดือดนี้ โดยเฉพาะสำหรับนักเรียนที่มีผลงานโดดเด่นและทุ่มเทเวลาและทุนทรัพย์ในการสร้าง Portfolio จำนวนมหาศาล

นักเรียนรายหนึ่งได้เปิดเผยความรู้สึกผิดหวังอย่างรุนแรงหลังทราบผลการคัดเลือก โดยระบุว่าตนเองมีผลงานครบถ้วนตามเกณฑ์และมีเกรดเฉลี่ยสูงถึง 63-65 (จาก 68-70 คะแนนที่เป็นคะแนน Cut Off โดยประมาณ) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ครอบครัวได้ทุ่มเทงบประมาณไปกับค่าคอร์สเรียนและค่าใช้จ่ายในการทำกิจกรรมแข่งขันรวมกันเกือบ 300,000 บาท เพื่อปั้น Portfolio ให้สมบูรณ์แบบที่สุด

ล่าสุด วันนี้ (15 พ.ย.) นายแพทย์ธีรภัทร์ พุ่มพวง (หมออั้น) ศัลยแพทย์ชื่อดัง ออกมาโพสต์ข้อความแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว ชี้ การไม่ผ่านรอบพอร์ตแพทย์” ไม่ใช่เพราะเด็กไม่เก่ง แต่เพราะพอร์ตที่ส่ง ไม่ตรงโจทย์คณะแพทย์ โดยเฉพาะคณะที่มีเกณฑ์เข้มงวดและมีพื้นที่ให้ผิดพลาดน้อยมาก โดยผู้โพสต์ได้ระบุข้อความว่า

“ถ้าผมเป็นกรรมการคัดเลือกแพทย์รอบพอร์ต – ผมก็ไม่ให้ผ่านเช่นกันครับ

แต่ ….การไม่ผ่านรอบพอร์ตแพทย์ ไม่ได้แปลว่า “เด็กไม่เก่ง” แต่แปลว่า พอร์ตรอบนี้ไม่ตอบโจทย์ของคณะ

โดยเฉพาะ ที่น้องยื่นเป็นหนึ่งในคณะแพทย์ที่ “เข้มงวดที่สุด” ในการคัดพอร์ต คะแนนตัดที่ 68–70 ถือว่าสูงมาก และ พื้นที่ให้ตกหล่นมีน้อยมาก

ลองอ่านใจกรรมการ ทำไมถึง “ไม่ให้ผ่านพอร์ตนี้”

1) จุดเด่นที่เห็นชัด (แต่ยังไม่พอจะผ่านรอบแพทย์)

1.1 เด็กมีความสามารถรอบด้านจริงครับ
ดนตรี–ร้อง–เต้น–เวทีประกวด
กีฬา
กิจกรรมโรงเรียน
วิชาการสายแข่งขัน

ทั้งหมดนี้สะท้อนว่าความสามารถของน้อง “เหนือกว่าค่าเฉลี่ยเด็กมัธยมทั่วไปเยอะมาก”
และไม่ใช่ปัญหาด้านศักยภาพส่วนตัว

1.2 มีงานจิตอาสา มีความตั้งใจดี
ออกหน่วยแพทย์
ฝึกงานโรงพยาบาล
ช่วยงานสาธารณสุขระดับพื้นที่

สิ่งเหล่านี้ ดีจริง และกรรมการมองเห็นว่าเด็กตั้งใจศึกษาอาชีพแพทย์

น้อง เก่ง มีความสามารถจริง และไม่ได้ทำพอร์ตแบบลวก ๆ

แต่…

2) จุดด้อยสำคัญที่ทำให้ “ไม่ผ่าน” ในมุมคนคัดเลือก

เพราะรอบพอร์ตแพทย์คือ การแข่งขันของเด็กเก่งกับเด็กเก่ง
และต้องคัดให้เหลือไม่กี่สิบคน

ผมจะยกเฉพาะ “จุดที่ส่งผลต่อคะแนนจริง” เท่านั้น

2.1 พอร์ตนี้เป็น “พอร์ตเด็กเก่งรอบด้าน” ไม่ใช่ “พอร์ตเด็กที่มุ่งแพทย์”

ปัญหาใหญ่ที่สุดคือ กิจกรรมจำนวนมาก ไม่เกี่ยวข้องกับแพทย์เลย
เช่น
เวทีร้องเพลง เต้น เปียโน ไวโอลิน รางวัลด้านการแสดง กีฬา
กิจกรรมโรงเรียนทั่วไป

(ประเด็นนี้ผมเคยเขียนวิเคราะห์ไว้นานแล้วนะครับ
ว่า…. ทำไมลูกหมอบางคนคนเค้าถึงไม่ได้เรียนเสริมอะไร มากมาย เหมือนที่เราเห็นกันในปัจจุบันแต่ลูกเขาสอบติด

ความลับมันอยู่ตรงนี้แหละ… เค้ารู้ไงครับว่าตรงนี้มันไม่ได้สำคัญอะไรในการไปยื่นพอร์ตเค้าตัดทิ้งหมดเลย ชิงเหรียญล่าเกียรติบัตรอะไรแบบเนี้ย มันเสียเงิน เสียเวลาชีวิตที่ไปเรียน… ผมถึงเน้นย้ำเหมือนกันว่า 1 ดนตรี 1 กีฬาก็เพียงพอแล้วสำหรับคนหนึ่งคน)

ในสายตากรรมการ
ทั้งหมดนี้ “0 คะแนน” ในเกณฑ์แพทย์ (บางคณะให้แค่ 5 คะแนนนะครับ)
คณะไม่ได้มองหาว่าเด็กต้องเก่งรอบด้าน
แต่ต้องการเด็กที่มี ความลึกทางการแพทย์ มากพอ

หลายบ้าน เสียเงิน เสียเวลา ไปกับการปั้นพอร์ตแบบนี้หลัก "หลาย ๆ แสน" และผมเคยเห็นมากสุด "หลักล้าน" นะครับ

นี่คือสิ่งที่พอร์ตนี้ไม่มี

2.2 ไม่มี “งานวิจัย” หรือ “โครงงานแพทย์” ที่เป็นตัวชี้วัดสำคัญ

พอร์ตที่ติดส่วนใหญ่จะมีอย่างน้อยข้อใดข้อหนึ่ง เช่น
โครงงานชีววิทยา/แพทย์เชิงลึก
วิจัยร่วมกับอาจารย์แพทย์ (บางโรงเรียนใหญ่ ๆ ส่งเด็กไปทำจริงนะครับ)
รายงานวิจัย หรือ case study
โครงงานชุมชนที่เชื่อมกับสาธารณสุข
บทความวิเคราะห์เชิงแพทย์
ฯลฯ
แต่พอร์ตนี้ไม่มีเลย

นี่คือปัจจัยที่ “ตัดคะแนนหนักมาก”

2.3 ไม่มี Reflection ทางการแพทย์ที่แสดงความเข้าใจชีวิตคนไข้

กรรมการต้องการเห็นว่าเด็ก
เข้าใจงานแพทย์จริง
เจอเหตุการณ์จริง
เห็นความเจ็บป่วยของคน
ได้เรียนรู้ด้านจิตใจมนุษยศาสตร์ ความรับผิดชอบ
รู้ว่าแพทย์ไม่ได้โรแมนติก

พอร์ตนี้เป็นแบบ “เล่าเหตุการณ์” แต่ ไม่มีการคิด วิเคราะห์ สะท้อนตัวเอง
ถ้ากรรมการอ่านแล้วไม่เห็น “ตัวตนของว่าที่หมอ” คะแนนจะหายไปทันที

2.4 โฟกัสกิจกรรมเยอะเกินไป ทำให้พอร์ตดูแตกกระจาย

พอร์ตที่ผ่านส่วนใหญ่จะมี “ธีมเดียวชัดเจน” เช่น
สนใจแพทย์ชนบท
สนใจศัลยกรรม
สนใจผู้สูงอายุ
ฯลฯ

พอร์ตนี้มีกิจกรรมเยอะมาก แต่กระจัดกระจาย
กรรมการอ่านแล้ว หาตัวตนไม่เจอว่าเด็กอยากเป็นหมอเพราะอะไร

2.5 ผลงานวิชาการด้านวิทยาศาสตร์ยังไม่ลึกพอ

แม้จะมีผลงานการแข่งขันดี เช่นคณิตศาสตร์
แต่สำหรับสายแพทย์ มักจะให้คะแนนสูงกับ

ชีววิทยา
เคมี
โครงงานวิทยาศาสตร์เชิงการแพทย์

พอร์ตนี้ยังขาด จุดพิสูจน์ความเหมาะสมทางวิชาการ สำหรับคณะแพทย์

3) สิ่งที่ควรคะแนนแทบช่วยคะแนนเลย

ถ้าผมเป็นกรรมการ จะ ไม่ให้คะแนน หรือให้ก็น้อยมากแต่เอาไว้ดูประกอบ กับรายการต่อไปนี้ (ไม่ใช่ว่าไม่มีนะครับ แต่ต้องมี แต่การมีเยอะมากมายแบบนี้มันไม่ใช่ แก่น)

การแสดง
ร้องเพลง
เต้น
เปียโน–ไวโอลิน
รางวัลเวทีประกวดต่าง ๆ
กีฬาโรงเรียน
แข่งขันทั่วไปที่ไม่เกี่ยวกับแพทย์
งานกิจกรรมโรงเรียนทั่วไป
Leadership ที่ไม่สัมพันธ์กับระบบสุขภาพ
กิจกรรมบันเทิงทุกประเภท

พอร์ตแพทย์ต้อง ตัดทิ้งให้เหลือ “แก่น” เท่านั้น.....1 ดนตรี 1 กีฬา 1 กิจกรรมเด่นๆ เพื่อสังคม

4) สิ่งที่ควรมี (แต่พอร์ตนี้ยังไม่มี)

นี่คือองค์ประกอบที่ “พอร์ตติดแพทย์ส่วนใหญ่” มักจะมี

4.1 งานวิจัยหรือโครงงานด้านการแพทย์…..คะแนนสูงมาก

4.2 Reflection เชิงลึกจากการสัมผัสผู้ป่วย…..แสดงความเข้าใจมนุษย์

มีน้องคนนึงเคยมาดูงานที่โรงพยาบาล เป็นเด็กไทยเรียนอินเตอร์นะครับ (ตอนนี้น้องเรียนอยู่ปีสองแถว ๆ โรงเรียนแพทย์ริมน้ำ) แล้วเอาไปเขียนความรู้สึกแค่ 10 บรรทัดเองแต่มีบางประโยค มันสะท้อนอะไรได้หลายอย่าง ผมอ่านผมยังตกใจเลยว่าโอ้โหน้องเค้าเก็บรายละเอียดได้ขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย

“โรงพยาบาลของรัฐที่มีผู้ป่วยรอรับการตรวจหลายร้อยคนต่อวัน แต่ถึงอย่างนั้น อาจารย์หมอก็ยังสามารถจัดการผู้ป่วยทุกคนได้อย่างแม่นยำ จำรายละเอียดของผู้ป่วยแต่ละคนได้ดี และดูแลทุกคนอย่างเท่าเทียมและให้ความเคารพเสมอ

ประสบการณ์ครั้งนี้ทำให้ผม “ถ่อมตัว” ลง และได้เห็นความเป็นจริงที่ยากลำบากของระบบสาธารณสุขไทย”

4.3 Narrative หรือเรื่องเล่า ที่ทำให้กรรมการ “เชื่อ” ในตัวเด็กต้องรู้ว่าทำไมอยากเป็นหมอจริง ๆ

ไม่ต้องเขียนยาวแค่หนึ่งหน้ากระดาษ A4 อ่านปุ๊บกรรมการเค้าก็พอจะรู้แล้วครับ

4.4 จิตอาสาที่มีความเชื่อมโยงกับระบบสุขภาพระยะยาว ไม่ใช่ไปทีเดียวแล้วจบ

4.5 ความต่อเนื่องของเส้นทางแพทย์
จาก ม.4 → ม.5 → ม.6 เห็นการเติบโตของเด็ก

5) สรุป

พอร์ตนี้ ดีมากในมุมของการเป็นเด็กเก่งรอบด้าน และน้องก็เป็นคนเก่งมากจริง ๆ ครับ (ตอนเด็กผมยังทำไม่ได้ขนาดนี้เลย) แต่ ยังไม่ใช่พอร์ตของคนที่ “นิยามตัวเองเป็นหมอ” แค่นั้นเอง

ความพ่ายแพ้ไม่เคยปิดประตูของความฝัน นอกจากวันที่เราเลิกเชื่อว่าเรายังเดินต่อได้

พอร์ตแพทย์ไม่ใช่ปลายทางของชีวิต
มันเป็นเพียงหนึ่งบทในหนังสือเล่มใหญ่ที่ชื่อว่า
“เส้นทางที่เรากำลังเติบโตให้กลายเป็นคนที่แข็งแรงกว่าเดิม”

สู้ต่อครับ

เพราะเส้นทางของน้อง…เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้นเอง
ความสามารถแบบนี้อนาคตไกลแน่นอนครับพยากรณ์ได้เลย

หมายเหตุ

ผมเขียนในฐานะ “คนกลาง” ที่อธิบายระบบตามความจริง ไม่ได้เข้าข้างฝ่ายใดนะครับ
และพูดตามหลักการของกรรมการ ว่าเค้าน่าจะคิดแบบนี้

โดยส่วนตัว ผมก็เห็นว่าระบบรับพอร์ตยังมีจุดอ่อน ช่องโหว่ และความเหลื่อมล้ำที่ทุกคนรู้กันดีแต่พูดกันตรง ๆ ไม่ได้ แล้วก็ไม่ค่อยเห็นด้วยเลย แต่ในเมื่อกติกายังเป็นแบบนี้ คนสมัครก็ต้องเล่นให้ถูกกติกาไปก่อนเท่านั้นเองครับ

และอีกอย่าง "รอบพอร์ต" มันก็เป็นแค่รอบหนึ่งเท่านั้นเอง ยังมีกระบวนการรับสมัครรอบอื่นๆ อีก...และไม่มีวิธีไหนที่ดีที่สุดหรอก

และ.....ในเคสนี้ สาเหตุที่ไม่ผ่านรอบสัมภาษณ์ไม่เกี่ยวกับพอร์ตเลยครับ

ไม่ผ่านรอบนี้เพราะคะแนน ไม่ใช่เพราะพอร์ต
เพราะเกณฑ์ของแพทย์ มข. ปีนี้ชัดเจนมากว่า
ต้องติด Top 200 ของคะแนน Netsat + Kelp หรือ T-BAT + CU-AAT + IELTS ก่อน
ถึงจะได้สิทธิ์เข้าสู่รอบสัมภาษณ์ ไม่ว่าพอร์ตจะดีแค่ไหนก็ตาม และต่อให้ผ่าน พอร์ตที่มีอยู่ก็ยังแข่งขันได้ยากในเกณฑ์ของแพทย์

ทั้งหมดนี้ไม่ได้หมายถึงว่าเด็กไม่เก่งนะครับ
แต่เป็นเรื่องของ “กติกาเฉพาะของคณะ” ที่ต้องศึกษาให้ละเอียดก่อนยื่นเท่านั้นเองครับ“
กำลังโหลดความคิดเห็น