หลังเกิดปราก#การณ์สนามศุภชลาศัยแตกในศึกแชมป์กีฬา 7 สี หมอนทองวิทยา-อบจ.ชัยนาท ผู้ช่วยโฆษกสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ แนะผู้จัดไม่ควรมองข้ามแผนการรับมือเหตุเจ็บป่วยฉุกเฉิน วางแผนและการประเมินความเสี่ยงก่อนงาน การจัดสรรทรัพยากร และใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่
วันนี้ (9 พ.ย.) เฟซบุ๊ก "การันต์ ศรีวัฒนบูรพา" ของว่าที่ร้อยตรี การันต์ ศรีวัฒนบูรพา ผู้ช่วยโฆษกสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) โพสต์ข้อความกรณีที่ผู้ชมการแข่งขันฟุตบอล 7 คน รายการแชมป์กีฬา 7 สี ระหว่างทีมโรงเรียนหมอนทองวิทยา กับทีมโรงเรียนองค์การบริหารส่วนจังหวัดชัยนาท มีผู้ทักท้วงถึงผู้จัดการแข่งขันที่ปล่อยให้ผู้ชมเข้ามาด้านในสนาม หลังเกิดเหตุสนามศุภชลาศัยมีผู้ชมเต็มความจุเกินกว่า 20,000 คน ระบุว่า "ผ่านไปแล้วกับปรากฏการณ์ฟุตบอลนักเรียนฟีเวอร์ หลายคนอาจจะดีใจที่เห็นฟุตบอลไทยทำให้ คนดูล้นสนามได้ขนาดนี้ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผู้จัดการทุกงานไม่ควรมองข้ามนั่นคือแผนการรับมือเหตุเจ็บป่วยฉุกเฉิน
ถ้าว่าด้วยเรื่อง “Medical Support for Mass Gathering” หรือการจัดการการแพทย์ฉุกเฉินในกิจกรรมที่มีคนจำนวนมาก เช่น งานกีฬา งานคอนเสิร์ต การชุมนุม งานประชุมขนาดใหญ่ นับเป็นเรื่องยากสำหรับผู้จัดงานทั่วโลก หรือในบางประเทศ (ไม่รู้ประเทศไหน) บางงานอาจไม่ให้ความสำคัญเลยด้วยซ้ำ
เรื่องที่ต้องคิดเป็นเรื่องแรกๆ เมื่อเกิดเหตุเจ็บป่วยฉุกเฉินคือ คนป่วยอยู่ที่ตรงไหน จะเข้าถึงตัวผู้ป่วยได้อย่างไร และจะพาผู้ป่วยออกไปรักษาอย่างไร จากประสบการณ์ที่เคยไปดูงานต่างประเทศ ก็พอจะเห็นภาพ เอาข้อมูลมาเราได้ดังนี้
1. การวางแผนและการประเมินความเสี่ยงก่อนงาน ควรมีการเตรียมการก่อนงาน อย่างน้อยหนึ่งอาทิตย์ ทที่รับผิดชอบการแพทย์ จะร่วมมือกับผู้จัดงาน หน่วยงานท้องถิ่น และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เพื่อประเมินความเสี่ยงอย่างละเอียด จัดทำแผนผังสถานที่เพื่อระบุอันตรายที่อาจเกิดขึ้น จุดเข้าถึง และเส้นทางอพยพ การจัดเตรียมพื้นที่จึงมีความสำคัญ ยกตัวอย่างเช่น
* การจัดพื้นที่ให้ผู้คน อยู่กันเป็น Block และระบุหมายเลขของแต่ละบล็อก จะช่วยให้ง่ายต่อการแจ้งเหตุ และการค้นหาตำแหน่งของผู้ป่วย นอกจากนี้การกั้นให้แต่ละบล็อกมีระยะห่างกันเล็กน้อย ก็จะทำให้มี emergency lane เพื่อให้หน่วยฉุกเฉินสามารถเดินทางเข้าถึงและพาผู้ป่วยออกในเส้นทางนี้ได้
* การประเมินความเสี่ยง วิเคราะห์ข้อมูลย้อนหลัง พยากรณ์อากาศ และข้อมูลประชากรของฝูงชน เพื่อคาดการณ์เหตุฉุกเฉินทางการแพทย์
* การประสานงาน กับหน่วยงานรัฐในพื้นที่ ผู้รับผิดชอบทีมฉุกเฉิน ควรมี การทำหนังสือแจ้งให้ศูนย์สั่งการ 1699 และโรงพยาบาล ในพื้นที่ได้รับทราบว่ามีการจัดงาน แจ้งหมายเลขโทรศัพท์ ช่องสื่อสารต่างๆ สำหรับติดต่อประสานงาน เพื่อง่ายต่อการส่งต่อผู้ป่วยฉุกเฉิน หรือขอรับการสนับสนุนหน่วย EMS ตำรวจ กู้ภัย กรณีเกิดการยกระดับของสถานการณ์
2. การจัดสรรทรัพยากร การตัดสินใจเกี่ยวกับการจัดสรรบุคลากรเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อประสิทธิภาพของ EMS งานขนาดใหญ่จำเป็นต้องมี แพทย์ พยาบาล พาราเมดิค EMT รถพยาบาลระดับต่างๆ มีทั้งทีมที่ประจำสถานที่และทีมเคลื่อนที่ อาจจะมีห้องปฐมพยาบาลเพื่อสังเกตอาการและรอระหว่างนำส่ง ไม่ได้มีสูตรตายตัวว่าต้องใช้เจ้าหน้าที่เท่าไหร่ บางประเทศก็มีคำแนะนำว่า ควรจัดให้มีเจ้าหน้าที่การแพทย์ฉุกเฉิน อย่างน้อย 3 คน ต่อผู้ชมงาน 500 คน และอาจเพิ่มขึ้นหากเป็นงานที่ต้องใช้พื้นที่กว้างเช่นการจัดวิ่งมาราธอน
3. เทคโนโลยีสมัยใหม่มีบทบาทสำคัญในการปรับปรุงเวลาตอบสนองและประสิทธิภาพของ EMS ใช้ระบบ GPS ตรวจสอบตำแหน่งของรถพยาบาลและทีมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการ ใช้แอปพลิเคชันมือถือ ให้ข้อมูลอัปเดตแบบเรียลไทม์แก่สมาชิกในทีมและผู้จัดงาน เครื่องมือ Telemedicine ช่วยให้เจ้าหน้าที่พยาบาลสามารถปรึกษาแพทย์จากระยะไกลเพื่อการตัดสินใจที่รวดเร็วยิ่งขึ้น
เหนือสิ่งอื่นใด การทำให้เหตุฉุกเฉินไม่เกิดขึ้นได้ คือหัวใจสำคัญของแผนฉุกเฉิน การถอดบทเรียนหรือวิเคราะห์เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตต่างๆ จะช่วยลดการสูญเสียได้"


