สภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ภายใต้การนำของผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.บุญส่ง ไข่เกษ นายกสภาวิชาชีพฯ ขอนำเสนอข้อมูลแร่ธาตุหายาก (Rare Earth Elements) ที่กำลังพูดถึงในสังคมไทยเป็นวงกว้าง จากข้อเขียนของ ดร.สมหมาย เตชวาล ประธานคณะอนุกรรมการวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีควบคุมสาขาธรณีวิทยา และอดีตอธิบดีกรมทรัพยากรธรณี เพื่อเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับแร่ธาตุหายากที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทย ดังนี้
1. แร่ธาตุหายากคืออะไร และประวัติการทำเหมืองในไทย
แร่ธาตุหายาก (Rare Earth Elements: REEs) ประกอบด้วยกลุ่มธาตุโลหะ 17 ชนิด ซึ่งถือเป็น "กระดูกสันหลัง" ของนวัตกรรมทางเทคโนโลยีสมัยใหม่ เนื่องจากคุณสมบัติทางแม่เหล็กและอิเล็กทรอนิกส์ที่โดดเด่น ทำให้เป็นวัตถุดิบสำคัญที่ขาดไม่ได้สำหรับการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด (เช่น มอเตอร์รถยนต์ไฟฟ้า และกังหันลม) เซมิคอนดักเตอร์ รวมถึงระบบป้องกันประเทศ
แร่ธาตุหายาก ถูกจัดเป็น "แร่วิกฤต" (Critical Minerals) เนื่องจากมีความสำคัญทางยุทธศาสตร์และมีห่วงโซ่อุปทานที่ซับซ้อนในการสกัดและการแปรรูป
ประเทศไทย เคยมีการผลิตแร่ธาตุหายาก ในช่วงที่อุตสาหกรรมดีบุกรุ่งเรือง (ประมาณ พ.ศ. 2500-2530) โดยเฉพาะในภาคใต้ อย่างไรก็ตาม การผลิตแร่ธาตุหายากในขณะนั้นไม่ได้เกิดขึ้นจากการทำเหมืองโดยตรง แต่เกิดในลักษณะของ "แร่พลอยได้" (by-product) ที่ปะปนมากับแร่ดีบุกและแร่หนักอื่นๆ เช่น แร่โมนาไซต์ (Monazite) และซีโนไทม์ ซึ่งเป็นแร่ที่มีธาตุหายาก (REEs) ปนอยู่ เช่น ซีเรียม (Ce), แลนทานัม (La), อิตเทรียม (Y) รวมถึงธาตุทอเรียม (Th) ซึ่งเป็นกัมมันตรังสีอ่อนๆ
หลังจากการล่มสลายของราคาดีบุกและมีการปิดเหมืองจำนวนมากในช่วงปี 2528-2530 การผลิตแร่พลอยได้เหล่านี้ก็หยุดลงตามไปด้วย รัฐบาลไทยได้เริ่มมีมาตรการเข้มงวดด้านสิ่งแวดล้อมและรังสีมากขึ้น เนื่องจากความอ่อนไหวในการจัดการกากแร่ที่ปนเปื้อนทอเรียม ปัจจุบัน แร่ธาตุหายากในประเทศไทยจึงถูกจัดอยู่ใน "บัญชีควบคุม" ต้องมีการขออนุญาตสำหรับการครอบครอง การขนย้าย และการส่งออก
2. สถานะการสำรวจ ปริมาณสำรอง และการวิจัยในปัจจุบัน
ในด้านปริมาณสำรอง ประเทศไทยมีปริมาณสำรองแร่ธาตุหายากในรูปออกไซด์ (REO) บันทึกไว้ประมาณ 4,500 ตัน ซึ่งทำให้ไทยติดอันดับ 12 ของโลกในฐานข้อมูลบางแหล่ง อย่างไรก็ตาม ข้อมูลที่มีอยู่ในเชิงธรณีวิทยาชี้ว่า แร่ธาตุหายากในไทยมักพบในลักษณะที่ กระจัดกระจายและมีความเข้มข้นต่ำ (low-grade) เมื่อเทียบกับแหล่งผลิตขนาดใหญ่ของโลก
กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) ยืนยันว่า ประเทศไทยยังไม่พบแหล่งแร่ธาตุหายากที่มีความคุ้มค่าในการทำเหมืองเชิงพาณิชย์ เพื่อลงทุนขนาดใหญ่ในปัจจุบัน ดังนั้น ณ เวลานี้ ประเทศไทยจึงยังไม่มี "ปริมาณสำรองที่พิสูจน์แล้ว" (Proven Reserves) อย่างเป็นทางการในระดับสากล มีเพียงข้อมูล "ศักยภาพเบื้องต้น" ที่ได้จากการสำรวจและงานวิจัยของกรมทรัพยากรธรณีและสถาบันวิชาการในพื้นที่ต่าง ๆ เช่น ภาคตะวันตก (ตาก, กาญจนบุรี, เพชรบุรี) และภาคใต้ (พัทลุง, ตรัง), การเคลื่อนไหวส่วนใหญ่ในปัจจุบันจึงยังคงจำกัดอยู่ในขั้นการสำรวจและวิจัยเชิงวิชาการ
3. สถานะการนำเข้า-ส่งออก และการแปรรูปในประเทศ
แม้จะไม่มีการทำเหมืองแร่ธาตุหายากเชิงพาณิชย์ในประเทศ แต่ประเทศไทยมีบทบาทในห่วงโซ่อุปทานระดับกลางน้ำ ข้อเท็จจริงคือ ไทยเป็นประเทศที่ นำเข้าแร่เข้มข้น (Concentrates) (ส่วนใหญ่จากออสเตรเลีย) มาดำเนินการ "แต่งแร่" (Upgrading) เพื่อเพิ่มความเข้มข้นของธาตุหายาก ก่อนที่จะ ส่งออก ต่อไป นอกจากนี้ ยังมีโรงงานแปรรูปวัตถุดิบนำเข้าเพื่อผลิตผลิตภัณฑ์ปลายน้ำ เช่น ผงโลหะแม่เหล็ก (Rare-Earth Magnetic Powder) เพื่อรองรับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังขาดเทคโนโลยีและโรงงานสกัด/ถลุงแร่ (Refining/Separation Plant) ขั้นสูงที่สามารถแยกธาตุหายากให้ออกมาเป็นธาตุบริสุทธิ์จากวัตถุดิบต้นน้ำได้โดยตรง
4. แนวทางการทำเหมือง แปรรูป หรือถลุงแร่ในอนาคต
เนื่องจากข้อจำกัดด้านธรณีวิทยาและความเข้มข้นของแร่ในประเทศ รวมถึงความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับธาตุทอเรียม แนวทางที่เหมาะสมและมีศักยภาพสูงสุดสำหรับประเทศไทยคือการมุ่งเน้นการเป็น "ศูนย์กลางห่วงโซ่ธาตุหายากของภูมิภาค (ASEAN Rare Earth Hub)" โดยเน้นการลงทุนในอุตสาหกรรม กลางน้ำและปลายน้ำ ได้แก่ การถ่ายทอดเทคโนโลยีการแปรรูปขั้นสูง (Separation/Refining) และการผลิตผลิตภัณฑ์ปลายน้ำ เช่น แม่เหล็กถาวรประสิทธิภาพสูง (Permanent Magnet) สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV)
เงื่อนไขสำคัญที่สุด สำหรับการลงทุนและการดำเนินงานภายใต้ความร่วมมือกับสหรัฐฯ คือ การที่โครงการใดๆ ที่เกิดขึ้นจะต้อง ปฏิบัติตามกฎหมายและมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดของไทยอย่างครบถ้วน (เช่น EIA และ EHIA) ทั้งนี้ MOU ที่ลงนามกับสหรัฐฯ นั้นเป็นเพียงการแสดงเจตจำนงในการส่งเสริมความร่วมมือและ ไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย ทำให้ประเทศไทยยังคงมีอำนาจอธิปไตยในการกำหนดเงื่อนไขการลงทุน
5. ข้อกังวลและยุทธศาสตร์รับมือ MOU ไทย-สหรัฐฯ
การลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ด้านแร่วิกฤตไทย-สหรัฐฯ เมื่อเดือนตุลาคม 2568 เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์เชิงภูมิรัฐศาสตร์ของสหรัฐฯ ที่ต้องการ กระจายความเสี่ยงของห่วงโซ่อุปทาน ออกจากการพึ่งพาการแปรรูปแร่ธาตุหายากของจีน ซึ่งครองตลาดโลกกว่า 91% ในขั้นตอนการแยกธาตุ สำหรับประเทศไทย ความร่วมมือนี้ถือเป็น "หมุดหมายใหม่" ที่สามารถดึงดูดการลงทุนและเทคโนโลยี
สิ่งที่ควรคำนึงและความเสี่ยงที่ประเทศไทยต้องระมัดระวัง
1. ความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม (กากกัมมันตรังสี) ความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดในระยะยาวคือการจัดการกากกัมมันตรังสีที่เพิ่มขึ้น (TENORM) ซึ่งเป็นของเสียจากการแปรรูปแร่หายาก หากขาดการลงทุนในระบบการจัดการของเสียที่มีมาตรฐานสูง อาจนำไปสู่การปนเปื้อนน้ำและดินอย่างร้ายแรงในพื้นที่แปรรูป
2. ความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์ การเข้าร่วมเป็นพันธมิตรในห่วงโซ่อุปทานที่นำโดยสหรัฐฯ อาจทำให้ไทยถูกมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของการแข่งขันทางเศรษฐกิจของมหาอำนาจ และอาจเสี่ยงต่อการถูกตอบโต้ทางการค้าที่ไม่เป็นทางการจากจีน
ยุทธศาสตร์เพื่อผลประโยชน์สูงสุดและการป้องกันผลกระทบเชิงลบต่อประเทศ
1. การป้องกันความเสียหายด้านสิ่งแวดล้อม
รัฐบาลต้องใช้จุดแข็งของกฎหมายสิ่งแวดล้อมของไทยในการเจรจาต่อรองให้สหรัฐฯ ถ่ายทอดเทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐานในการจัดการกากกัมมันตรังสี (Thorium/TENORM) อย่างครบถ้วน เพื่อให้มั่นใจว่าการพัฒนาอุตสาหกรรมเป็นไปตาม "มาตรฐานสูง" และมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมตามที่ MOU ระบุ
2. การสร้างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจสูงสุด
มุ่งเน้นการดึงดูดการลงทุนในขั้นตอนการแยกธาตุบริสุทธิ์ (Refining/Separation) และ การผลิตแม่เหล็กถาวร ซึ่งเป็นส่วนที่มีมูลค่าเพิ่มสูงและมีความสำคัญต่ออุตสาหกรรม EV ของไทยโดยตรง เพื่อยกระดับความสามารถทางอุตสาหกรรม และช่วยให้ไทยเชื่อมโยงเข้าสู่ซัพพลายเชนเซมิคอนดักเตอร์ระดับโลก
3. การบริหารความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
ไทยต้องวางตัวอย่างสมดุลและรักษาความเป็นกลางทางยุทธศาสตร์ โดยใช้สถานะ "พันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์" นี้ในการเจรจาต่อรองเงื่อนไขการลงทุนที่ชัดเจนและโปร่งใส เพื่อให้มั่นใจว่าประเทศไทยเป็นฐานการผลิตทางเลือกที่มั่นคงและน่าเชื่อถือ ไม่ใช่เพียงฐานทัพเศรษฐกิจในความขัดแย้งของมหาอำนาจ


