เมื่อระเบียบโลกที่สหรัฐฯ สร้างเองกำลังพังทลาย ส่งผลให้วิกฤต WTO ถูกทำให้ไร้สภาพ มาตรการสิ่งแวดล้อมกลับกลายเป็นเครื่องมือกีดกันการค้า และการเข้ามาของ AI กำลังพลิกโฉมกติกาการแข่งขันทั้งหมด “ผู้นำธุรกิจไทย” ต้องปรับตัวอย่างไรจึงอยู่รอดและเติบโต
คณะนิติศาสตร์ปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) โดย อาจารย์ ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ คณบดีและประธานกรรมการหลักสูตร Super LBA รุ่นที่ 2 ได้จัดกิจกรรมเสริมความเข้มข้นทางวิชาการใน Module 6: International Business and Law (ต่อ) เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2567 ณ ห้องประชุม ดร.ไสว สุทธิพิทักษ์ อนุสรณ์ โดยได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิระดับประเทศ ทั้งศาสตราจารย์ ดร.ศักดา ธนิตกุล อดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คุณรัชวิชญ์ ปิยะปราโมทย์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงพาณิชย์ คุณพัทธ์กมล ทัตติพงศ์ นักวิชาการพาณิชย์เชี่ยวชาญ และคุณสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) มาร่วมถอดรหัสการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของระเบียบการค้าโลก และนำเสนอกลยุทธ์การปรับตัวสำหรับองค์กรธุรกิจไทย
WTO ยังไม่ตาย แต่ถูกสหรัฐฯ "ฝังเข็ม" เพื่อคุมเกมการค้าโลก
ศาสตราจารย์ ดร.ศักดา ธนิตกุล เริ่มการบรรยายโดยเปิดประเด็นด้วยการตั้งคำถามที่หลายคนสงสัยว่า WTO ตายแล้วหรือยัง “คำตอบคือยังไม่ตาย” แต่ถูกทำให้อัมพาตด้วยกลยุทธ์ที่แยบยลของสหรัฐอเมริกา สิ่งที่น่าสนใจคือสหรัฐฯ กำลังทิ้งระบบ Bretton Woods System ที่ตนเองสร้างขึ้นเมื่อ 80 ปีก่อน ด้วยการประกาศใช้มาตรการ Reciprocal Tax ที่เก็บภาษีแตกต่างกันตามแต่ละประเทศ ซึ่งขัดกับหลัก Most Favored Nation หรือ MFN ที่ห้ามการเลือกปฏิบัติในการเก็บภาษีนำเข้า ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานที่สำคัญที่สุดของ WTO
“การที่สหรัฐได้ทิ้งระบบที่สหรัฐสร้างขึ้นมานั้น กฎหมายของทรัมป์ก็เหมือนกฎหมายที่เรียกว่า Smoot–Hawley Tariff Act ที่ออกมาในปี ค.ศ. 1930 ซึ่งนี่คือ สาเหตุหนึ่งที่นำไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 2”
ส่วนสาเหตุที่สหรัฐฯ ท้าทายระบบ WTO มาจากความต้องการที่จะรักษาความเป็นผู้นำโลกและต่อสู้กับสาธารณรัฐประชาชนจีน (PRC) ที่ผงาดขึ้นมาเป็นคู่แข่งทางเศรษฐกิจ ซึ่งศาสตราจารย์ ดร.ศักดา ยังได้กล่าวถึง สถานะของ WTO ในปัจจุบันว่า สหรัฐอเมริกาใช้วิธี "ฝังเข็ม" ให้องค์กรนี้ทำงานไม่ได้อย่างเต็มที่ โดยการไม่ยอมแต่งตั้งกรรมการผู้ตัดสินในคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ทำให้กลไกระงับข้อพิพาทใช้การไม่ได้ เมื่อจีนฟ้องเรื่องภาษีศุลกากรที่ผิดหลัก MFN สหรัฐฯ ก็อุทธรณ์ไปยังองค์กรที่ "ไม่มีกรรมการผู้ตัดสิน" ผลคือคดีค้างอยู่ในระบบไม่สามารถตัดสินได้
"WTO ยังไม่ตาย แต่สหรัฐรู้กลไกที่เรียกว่าการฝังเข็ม คือจะถอดเข็มนี้ออกเมื่อไร WTO ก็กลับมาทำงานได้ วิธีฝังเข็มของสหรัฐฯ นั้นเกิดจาก WTO เวลาที่มีข้อพิพาทอย่างกรณีภาษีศุลกากรทรัมป์ โดนจีนฟ้องไปแล้ว เพราะภาษีศุลกากรทรัมป์นั้นขัดกับหลัก MFN และสหรัฐฯ ก็อุทธรณ์คดีไปสู่กลไกที่ถูกฝังเข็มนี้"
และด้วยการทิ้งระบบที่ตัวเองสร้างขึ้นมาเช่นนี้ ทำให้ผู้นำประเทศที่เชื่อในเสรีนิยม อย่างอดีตนายกฯ สิงคโปร์ “ลี เซียน ลุง" มองว่าโลกกำลังเข้าสู่ยุค Post-American Order ซึ่งเป็นความจริงเมื่อดูจากสัดส่วนการค้าของสหรัฐฯ ในตลาดโลกที่ลดลงจากร้อยละ 30-40 ในอดีต เหลือเพียงร้อยละ 11.426 ในปัจจุบัน ศาสตราจารย์ ดร.ศักดา จึงสรุปทิ้งท้ายว่า หากสหรัฐฯ ถอนตัวจาก WTO วันนี้ ผลกระทบต่อการค้าโลกจะน้อยกว่าในอดีตมาก การค้าโลกจะไม่ล่มสลายเหมือนเมื่อก่อน เพราะมีผู้เล่นใหม่อย่างจีนและอินเดียเข้ามาแทนที่
อย่างไรก็ดี การ "ฝังเข็ม" นี้เปรียบเสมือนการฝังเข็มในจุดสำคัญของร่างกาย เมื่อไรที่สหรัฐฯ ถอนเข็มออก WTO ก็จะกลับมาทำงานได้ทันที แต่ตอนนี้สหรัฐฯ ยังไม่พร้อมที่จะถอน เพราะยังต้องการใช้มาตรการฝ่ายเดียวในการต่อสู้ทางการค้ากับจีนต่อไป
จาก MFN สู่ Green Deal เมื่อมาตรการสิ่งแวดล้อมกลายเป็นอาวุธกีดกันการค้า
ขณะที่ คุณรัชวิชญ์ ปิยะปราโมทย์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงพาณิชย์ และ คุณพัทธ์กมล ทัตติพงศ์ นักวิชาการพาณิชย์เชี่ยวชาญ ได้ร่วมกันเน้นย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วนที่ธุรกิจไทยต้องปรับตัวในยุคที่กติกาการค้าโลกกำลังเปลี่ยนไป การทำข้อตกลงการค้าเสรีหรือ FTA “กลายเป็นความจำเป็น” เพื่อความอยู่รอด ไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป
โดยเฉพาะในยุคที่มูลค่าการค้าระหว่างประเทศสูงกว่าร้อยละ 130 ของ GDP โลก ข้อมูลระบุว่า ประเทศไทยเรากำลังเสียเปรียบอย่างชัดเจน เมื่อเทียบกับเวียดนามที่มี FTA ครอบคลุมถึง 54 ประเทศ ขณะที่ไทยมีเพียง 18 ประเทศ ผลคือสินค้าไทยต้องเสียภาษีนำเข้ายุโรปร้อยละ 10-15 ส่วนคู่แข่งได้รับการยกเว้นภาษี นี่จึงกลายเป็นต้นทุนที่ผู้ประกอบการไทยต้องแบกรับเพิ่มขึ้นเพียงเพราะไม่มี FTA รองรับเพียงพอ
นอกจากประเด็น FTA แล้ว คุณพัทธ์กมลยังได้อธิบายถึงมาตรการเยียวยาทางการค้าที่ WTO อนุญาตให้ใช้ได้ เช่น มาตรการปกป้อง ซึ่งสามารถใช้ได้เมื่อมีสินค้าทะลักเข้ามาโดยไม่คาดฝัน โดยมาตรการนี้แตกต่างจากมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดตรงที่ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์พฤติกรรมที่ไม่ดีของผู้ส่งออก
ขณะที่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สร้างความตื่นตระหนกทั่วโลกคือประเด็น เศรษฐกิจสีเขียว โดย EU ได้ผลักดัน European Green Deal ซึ่งนำไปสู่การบังคับใช้มาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (CBAM) สำหรับสินค้า 6 กลุ่ม มาตรการนี้ถูกมองว่าเป็นมาตรการเลือกปฏิบัติ เพราะ EU มีความก้าวหน้าในการควบคุมคาร์บอนมากกว่าประเทศอื่น
“หลังจากที่ EU ประกาศมาตรการ CBAM ก็ทำให้ทั่วโลกตื่นตระหนก คนหลายประเทศก็ไม่เห็นด้วยเพราะมองว่าเลือกปฏิบัติ เนื่องจาก EU มีความเก่งและได้ทำมานานแล้ว ในขณะที่ประเทศอื่นๆ ไม่ได้มีมาตรการอย่างนี้มาก่อน” คุณพัทธ์กมล อธิบายถึงปฏิกิริยาของทั่วโลกต่อมาตรการดังกล่าว
สำหรับความท้าทายของการเจรจา FTA รุ่นใหม่ ซึ่งรวมถึง FTA อาเซียน-จีน 3.0 ที่ปรับปรุงข้อตกลงเดิม 4 เรื่อง และเพิ่มหัวข้อใหม่ 5 เรื่อง เช่น เศรษฐกิจดิจิทัล เศรษฐกิจสีเขียว และ Supply Chain Connectivity อย่างไรก็ดี คุณรัชวิชญ์ ระบุว่า ปัญหาหลักไม่ใช่เพียงการเจรจากับประเทศคู่ค้า หากแต่เป็น “ความซับซ้อนภายในกลุ่มอาเซียนเอง” โดยเฉพาะในส่วนของกระบวนการกำหนดท่าทีร่วม (ASEAN Common Position) ซึ่งเป็นสิ่งที่ทั้ง 10 ประเทศต้องตกลงกันให้ได้ก่อนเข้าสู่การเจรจาอย่างเป็นทางการ
“การเจรจาความตกลงกับอาเซียนมีความยุ่งยาก และใช้เวลามากกว่าการเจรจากับจีนเสียอีก เพราะในการทำงาน ผู้เจรจาฝ่ายอาเซียนมีผู้แทนเพียง 1 คนทำหน้าที่เจรจากับจีน แต่ก่อนหน้านั้น อาเซียนต้องประชุมเจรจากันเองก่อน เพื่อหาท่าทีร่วม ซึ่งเป็นกระบวนการที่สร้างความเคร่งเครียดและต้องใช้ความพยายามอย่างสูงในการสรุปผล”
ผู้นำองค์กรต้องยอมเจ็บ เพื่อ Triple Transformation องค์กรสู่อนาคต
ในช่วงท้าย คุณสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร AIS ได้สะท้อนมุมมองจากภาคธุรกิจที่ต้องเผชิญความเปลี่ยนแปลงจริง โดยย้ำว่า “AI ไม่ได้มาแทนคน แต่คนที่ใช้ AI เป็น จะมาแทนคนที่ใช้ AI ไม่เป็น” ซึ่งความจริงนี้สะท้อนให้เห็นถึงความเร็ว และแรงกระแทกของการเปลี่ยนแปลงในโลกธุรกิจอย่างชัดเจน ตัวอย่างเช่น ChatGPT ใช้เวลาเพียง 2 เดือนในการมีผู้ใช้ครบ 100 ล้านคน ขณะที่โทรศัพท์ต้องใช้เวลา 75 ปี อินเทอร์เน็ต 7 ปี ดังนั้นนี่จึงเป็น “ความเร็วที่ธุรกิจยุคใหม่” ต้องปรับตัวให้ทัน จึงจะอยู่รอด
คุณสมชัย ยกตัวอย่างการแข่งขันระหว่าง LINE กับ Kakao ในตลาดไทยที่แสดงให้เห็นความสำคัญของการเข้าตลาดก่อน แม้ว่า Kakao จะมีเทคโนโลยีเหนือกว่า มีสติกเกอร์ที่ขยับได้และฟีเจอร์ที่ล้ำหน้ากว่า แต่ LINE เข้าตลาดไทยก่อน พอคนไทยติดใช้ LINE แล้ว ในที่สุด Kakao ก็ไม่สามารถแทรกซึมตลาดไทยได้ และก็ออกไป
เพื่อตอบรับกับความเร็วและความซับซ้อนของการเปลี่ยนแปลงนี้ AIS จึงได้ขับเคลื่อนองค์กรด้วยยุทธศาสตร์ Triple Transformation ในการปรับองค์กรเข้าสู่ยุคดิจิทัล ซึ่งประกอบด้วย Digital Transformation ที่ปรับระบบงานทั้งหมดเป็นดิจิทัลและใช้ AI ในทุกกระบวนการ Business Transformation ที่เปลี่ยนจากบริษัทโทรคมนาคมเป็น Digital Life Service Provider สร้างธุรกิจใหม่อย่าง AIS PLAY และ Digital Payment อย่างครบวงจร
อย่างไรก็ตาม แกนที่สำคัญและท้าทายที่สุดคือ People Transformation หรือการปฏิรูปบุคลากรและวัฒนธรรมองค์กร ซึ่งเป็น "ปัจจัยเดียวที่คู่แข่งไม่สามารถซื้อได้" การเปลี่ยนแปลงนี้หมายถึงการปรับโครงสร้างเพื่อรองรับพนักงาน Gen Y ซึ่งเป็นพนักงานส่วนใหญ่ และต้องแลกมาด้วยการตัดสินใจที่เจ็บปวดของผู้นำ เช่น การเปลี่ยนห้องทำงานส่วนตัวของผู้บริหารระดับสูงเป็นพื้นที่ทำงานแบบเปิด เพื่อสร้างวัฒนธรรมที่เปิดกว้าง
"ปี 2019 วันที่ผมตัดสินใจ วันนั้นยังคุยเล่นๆ เลยจาก 99% เหลือ 80% ที่รักผม อีก 20% ไม่รักผมแล้ว และ 20% ที่ไม่รักผมนี้คือเพื่อนๆ ที่คลุกคลีกันมาทั้งสิ้น แต่การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับบริษัทในอนาคต ถ้าผู้นำไม่เปลี่ยน องค์กรก็จะไม่เปลี่ยนตาม"
“ดังนั้นเพื่อให้พนักงานสามารถใช้ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ AIS ไม่ได้มุ่งเน้นการลงทุนสร้าง amazing AI ด้วยงบประมาณมหาศาล แต่ใช้กลยุทธ์ที่เรียกว่า human in the loop of training AI โดยให้แต่ละฝ่ายงานนำเครื่องมือ AI ที่มีอยู่แล้วไปเทรนโปรแกรมของตนเองให้เก่งขึ้น ซึ่งเป็นวิธีการใช้ AI ที่มีประสิทธิภาพสูงเหมือนการสร้าง ขาโต๊ะที่แข็งแรงและยังมีต้นทุนที่ต่ำ
“นอกจากนี้ AIS ยังให้ความสำคัญกับ Digital Inclusion หรือการสอนให้คนรู้จักใช้ดิจิทัลอย่างถูกต้องและเท่าทัน โดยมีการสร้างภาพยนตร์เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงผลร้าย เนื่องจาก 'DQ' หรือ ความฉลาดทางดิจิทัล เป็นสิ่งสำคัญยิ่ง เพราะดิจิทัลเหมือนมีดที่หากใช้ไม่เป็นก็อาจเป็นอาวุธและเป็นภัยต่อเราได้”
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร AIS ยังได้สรุปหลักการบริหารบุคลากรที่องค์กรยึดถือมาโดยตลอด คือการสร้างสมดุลระหว่างผลตอบแทนที่แข่งขันได้ โอกาสในการเติบโต และงานที่มีความหมาย หากครบทั้งสามด้าน คนเก่งจะเลือกอยู่กับองค์กรอย่างยั่งยืน โดยผู้นำต้องเป็นทั้งแบบอย่างและแรงบันดาลใจให้ทีมงานเห็นทิศทางที่ชัดเจน
การดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืนจึงไม่ได้จำกัดอยู่แค่ผลกำไร แต่ต้องควบคู่ไปกับการพัฒนาคน สังคม และสิ่งแวดล้อม AIS มุ่งใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือในการสร้างโอกาสให้กับประเทศ ผ่านโครงการอบรม Digital Literacy ที่ตั้งเป้าหมายให้ประชาชนหนึ่งล้านคนรู้เท่าทันดิจิทัล ป้องกันภัยไซเบอร์ เข้าใจ Deepfake และรู้จักใช้เทคโนโลยีอย่างปลอดภัย พร้อมทั้งร่วมมือกับภาครัฐในการพัฒนาแนวทางจริยธรรม AI เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านสู่อนาคตไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
ทั้งหมดนี้คือ การขับเคลื่อนภายใต้กรอบ ESG ที่ให้ความสำคัญกับทั้ง People, Planet และ Profit อย่างต่อเนื่องและเป็นรูปธรรม ไม่ใช่เพียงเพื่อความอยู่รอด แต่เพื่อการเติบโตที่มีคุณค่าในระยะยาว


