รายงานพิเศษ
“สถานการณ์ ณ ขณะนี้ เราอาจจะเข้าใจว่า ประเทศไทยมีกฎหมายป้องกันการฟ้องปิดปาก หรือ Anti – SLAPP Law อยู่แล้ว เพราะเรามีการสื่อสารโดยพูดถึงกฎหมายฉบับหนึ่งซึ่งใช้ชื่อ Anti – SLAPP Law เลย ... แต่ถ้าเราไปดูเนื้อในของมันจริงๆ จะพบชื่อเต็มๆของมันคือ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2568 ซึ่งเพิ่มเติมสาระสำคัญโดยนำหลักการของกลไกป้องกันการฟ้องปิดปากมาให้ความคุ้มครองและช่วยเหลือกับผู้ที่เปิดโปงและแจ้งเบาะแสการทุจริต แต่ถูกกลั่นแกล้งด้วยการถูกฟ้องร้อง”
“นี่ยังไม่ใช่กฎหมายป้องกันการฟ้องปิดปากที่แท้จริงครับ ... เพราะคุ้มครองเฉพาะเรื่องการเปิดเผยข้อมูลการทุจริตเท่านั้น และอยู่ในอำนาจของ ป.ป.ช.เท่านั้น”
สุภอรรถ โบสุวรรณ ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท HAND Social Enterprise ซึ่งเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคมที่ทำงานรณรงค์ด้านการต่อต้านคอร์รัปชันด้วยการผลักดันให้หน่วยงานรัฐต้องจัดทำระบบเปิดเผยข้อมูลเป็น Open Government ตั้งข้อสังเกตถึงการพยายามสื่อสารว่าประเทศไทยมีกฎหมายป้องกันการฟ้องปิดปากแล้ว น่าจะเป็นสิ่งที่ยังไม่ถูกต้อง เพราะกฎหมายนี้ยังถูกใช้อยู่ภายใต้ร่มเงาของ ป.ป.ช.เท่านั้น ทำหน้าที่ปกป้องคุ้มครองได้เฉพาะการร้องเรียนเรื่องทุจริตเท่านั้น และยังมีขั้นตอนที่ยุ่งยากในการที่จะระบุว่า เรื่องที่ถูกเปิดเผยออกมาและถูกฟ้องกลั่นแกล้ง ถือเป็นเรื่องทุจริตที่เข้าข่ายจะได้รับความคุ้มครองหรือไม่
“จากที่เคยเข้าไปร่วมประชุมในเวทีระดับนานาชาติ กฎหมายป้องกันการฟ้องปิดปากที่ใช้กันในหลักการสากลจะคุ้มครองการตั้งคำถาม การตั้งข้อสงสัย หรือแม้แต่การตั้งข้อสังเกตของภาคประชาชนเกือบทุกเรื่อง ครอบคลุมทั้งเรื่องการเมือง เรื่องความยุติธรรม เรื่องความเสียหายและความเป็นธรรมทางสิ่งแวดล้อม เรื่องพลังงาน เรื่องแรงงาน เรื่องธรรมาภิบาลของรัฐ หรือเรื่องคอร์รัปชัน เช่น หากมีข้อสงสัยกลุ่มธุรกิจได้ประโยชน์เพราะมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับนักการเมืองหรือผู้มีอำนาจทางการเมือง และเกิดเป็นนโยบายที่ผิดพลาด ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมหรือสังคม ก็ต้องสามารถตั้งคำถามหรือเปิดเผยข้อมูลบางอย่างให้ผู้ถูกกล่าวหาออกมาชี้แจงได้ และ Anti – SLAPP Law ก็ต้องปกป้องคุ้มครองคนเหล่านั้นไม่ให้ถูกผู้มีอำนาจใช้ช่องว่างของกระบวนการยุติธรรมไปฟ้องร้องคดีเพื่อข่มขู่ให้หยุดการวิพากษ์วิจารณ์ได้ ซึ่งการคุ้มครองของกฎหมายต้องเกิดขึ้นทันทีตั้งแต่ในขั้นตอนนี้ โดยไม่มีความจำเป็นต้องมีหลักฐานว่ามีการทุจริต”
“ดังนั้นกฎหมายป้องกันการฟ้องปิดปากที่สมบูรณ์ ไม่ควรไปผูกติดเฉพาะกับประเด็นการทุจริต และไม่ควรไปอยู่ใต้การกำกับของหน่วยงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตเท่านั้น เพราะมันจะทำให้กฎหมายใช้ไม่ได้จริง” สุภอรรถ อธิบายให้เห็นความแตกต่างของหลักกฎหมายป้องกันการฟ้องปิดปากที่แท้จริง กับกฎหมาย ป.ป.ช.ที่ประเทศไทยใช้อยู่ในปัจจุบัน
“ประเด็นสำคัญที่ต้องสื่อสารวันนี้ คือ กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญที่ ป.ป.ช.ใช้อยู่ ไม่ควรถูกสื่อสารด้วยคำว่า กฎหมาย Anti – SLAPP Law เพราะมันไม่ใช่ และประเทศไทยจำเป็นต้องมีกฎหมาย Anti – SLAPP Law จริงๆ ที่เป็นพระราชบัญญัติออกมา”
การฟ้องปิดปาก หรือ SLAPP มาจากคำว่า Strategic Lawsuit Against Public Participation เป็นรูปแบบหนึ่งที่กลุ่มผู้มีอำนาจหรือมีเงินมากไปนำกระบวนการยุติธรรมมาใช้เป็นเครื่องมือโดยการ “ฟ้องร้อง” ทั้งทางคดีแพ่ง คดีอาญา เพื่อหวังผลให้เกิดการ “หยุดยั้ง” การวิพากษ์วิจารณ์หรือการตั้งคำถามจากประชาชนที่พยายามจะปกป้องประโยชน์สาธารณะ
ข้อมูลจาก HAND SE ระบุว่า รูปแบบการฟ้องร้องปิดปากที่เกิดขึ้นในประเทศไทย มักจะมีผู้ถูกฟ้องมากที่สุดเป็นกลุ่มคนที่เคลื่อนไหวระดับท้องถิ่น กลุ่มนักกิจกรรมทางสังคม สหภาพแรงงาน รวมไปถึงสื่อมวลชน โดยผู้ฟ้องมักจะเป็นกลุ่มทุนขนาดใหญ่ และนักการเมือง ใช้กลุ่มทนายความที่มีความเชี่ยวชาญทางเทคนิคของกฎหมายดำเนินการฟ้องเรียกค่าเสียหายจากการถูกวิจารณ์เป็นเงินหลักสิบล้านหรือหลักร้อยล้านบาท หรือใช้การแจ้งความในหลายท้องที่ ทำให้ต้องเสียเวลาและค่าใช้จ่ายมากในการเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม จนความพยายามตรวจสอบข้อเท็จจริงต่างๆ ต้องยุติไปในที่สุด เพราะไม่สามารถสู้กับกระบวนการที่มีราคาแพงและยุ่งยากเหล่านี้ได้
“นอกจากทนายที่มีความเชี่ยวชาญแล้ว กลุ่มทุนขนาดใหญ่ยังมักแต่งตั้งอดีตข้าราชการในวงการตุลาการหรือวงการยุติธรรม "ชั้นผู้ใหญ่" มาเป็นที่ปรึกษาแทบจะในทันทีหลังจากพ้นตำแหน่งเสียด้วย ใครจะอยากไปสู้ล่ะครับผม”
“กฎหมายป้องกันการฟ้องปิดปาก หรือ Anti – SLAPP LAW ที่แท้จริง เรียกว่าเป็นกฎหมายคุ้มครอง มันเกิดขึ้นจากความเชื่อว่า มีคนจำนวนหนึ่งที่มีทั้งอำนาจและเงินทุนที่เหนือกว่าคนอีกจำนวนหนึ่ง ... และหากคนที่มีอำนาจทุนและอำนาจรัฐเหนือกว่าไปทำอะไรที่มันไม่ดีไม่งามซึ่งส่งผลต่อสาธารณะขึ้นมา มันก็เป็นเรื่องยากที่จะมีคนลุกขึ้นมาออกมาพูด ออกมาวิจารณ์ หรือออกมาเป็นคู่ขัดแย้ง ทั้งที่มีความตั้งใจที่ดี อยากให้สังคมได้รับรู้และเกิดการตรวจสอบในเรื่องนั้น ๆ ก็เลยเป็นที่มาว่า มันควรจะมีกฎหมายที่มีลักษณะเหมือนเป็นการเติมขั้นบันไดให้คนตัวเล็กๆ ในสังคมที่มีข้อมูลให้สามารถรักษาผลประโยชน์ของสาธารณะได้ โดยไม่ต้องกลัวว่าจะต้องเสียทั้งเงิน ทั้งเวลา ไปจนถึงเสียอิสรภาพจากกระบวนการ(ที่ไม่)ยุติธรรมนี้เสียก่อน อันนี้เป็นหลักการเบื้องต้นครับ”
“แต่ของประเทศไทย ยังนำหลักการมาใช้ไม่ครบครับ เรื่องสิ่งแวดล้อมทิ้งไปเลย เรื่องสังคมทิ้งไปเลย กลายเป็นว่า มีแต่เรื่องคอร์รัปชัน โดยมีเฉพาะ ป.ป.ช.เป็นองค์กรเดียวที่มาให้ความคุ้มครอง ดังนั้นคนที่จะบอกว่าจะคุ้มครองไม่คุ้มครองก็คือกรรมการ ป.ป.ช.เท่านั้น แปลว่า จะคุ้มครองเฉพาะเรื่องคอร์รัปชัน ... กลายเป็นต้องมาวิเคราะห์วินิจฉัยกันอีกว่า เรื่องที่เราอยากจะพูดถึงมันเข้าข่ายเป็นเรื่องคอร์รัปชันหรือเปล่า เช่น เราจะออกมาเปิดเผยหรือตั้งคำถามว่า ทำไมโรงงานที่ปล่อยมลพิษจนถูกร้องเรียนบ่อยๆ ไม่เคยถูกลงโทษอย่างจริงจังจากหน่วยงานกำกับดูแลเลย เราก็ต้องไปหาข้อมูลมาพิสูจน์ให้ได้อีกว่า เขามีการจ่ายเงินใต้โต๊ะกัน เมื่อเราหาไม่ได้ ก็จะไม่ได้ความคุ้มครองจากกฎหมายที่ ป.ป.ช.ใช้ ... ทำให้ตั้งแต่ใช้กฎหมายนี้มา ยังไม่มีใครได้รับความคุ้มครองเลยแม้แต่คนเดียว” สุภอรรถ ยกตัวอย่างประกอบ
ในฐานะคนที่ทำงานรณรงค์ให้รัฐต้องมีระบบการเปิดเผยข้อมูลภาครัฐอย่างโปร่งใสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบได้ สุภอรรถ ยืนยันว่า ประเทศไทยยังมีความจำเป็นต้องมี “กฎหมายป้องกันการฟ้องปิดปาก” ที่ครอบคลุมการแสดงความคิดเห็นของประชาชนในทุกประเด็นอย่างแท้จริง และต้องไม่พยายามบิดเบือนว่าการมีกฎหมายที่คุ้มครองเฉพาะผู้เปิดเผยประเด็นการคอร์รัปชันเป็นกฎหมาย Anti – SLAPP Law แล้ว
“ในฐานะคนที่ทำงานต่อต้านคอร์รัปชัน เราก็รู้ว่าการคอร์รัปชันมันเป็นหนึ่งในเรื่องเลวร้ายของสังคมไทย แต่เรื่องเลวร้ายที่เราต้องช่วยกันตรวจสอบ มันไม่ได้มีแค่เรื่องคอร์รัปชัน ... หลักการสำคัญของสังคมประชาธิปไตย คือ ประชาชนทุกคนควรจะมีสิทธิ์ที่จะตั้งคำถาม มีสิทธิ์ที่จะออกมาวิพากษ์วิจารณ์ได้ และบริษัทเอกชน หรือหน่วยงานรัฐก็มีสิทธิ์ที่จะมาแถลง มีสิทธิ์ออกให้ข้อมูลอีกด้านอยู่แล้ว เราต้องเชื่อว่า ประชาชนมีความสามารถในการเลือกพิจารณาตามวิจารณญาณเขาเอง ถ้าเราเชื่อว่าประชาชนตื่นรู้ ก็จะได้เปิดพื้นที่ให้แต่ละฝ่ายใช้หลักฐานมานำเสนอกัน ผมคิดว่าจะเป็นประโยชน์มาก” สุภอรรถ ทิ้งท้าย


