หลักสูตร Super LBA รุ่นที่ 2 โดยคณะนิติศาสตร์ปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) จัดกิจกรรมเข้มข้นใน Module 6: International Business and Law (ต่อ) เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2568 ณ ห้องประชุม ดร.ไสว สุทธิพิทักษ์ อนุสรณ์ เพื่อเสริมสร้างความรู้และกลยุทธ์การบริหารความเสี่ยงทางธุรกิจและกฎหมายระดับโลก ตั้งแต่การบริหารสัญญา การจัดการข้อพิพาท ไปจนถึงการปั้นแบรนด์ไทยสู่สากล ท่ามกลางกฎหมายที่เปลี่ยนเร็วและจริยธรรมที่ธุรกิจไทยต้องเผชิญ โดยผู้เชี่ยวชาญและนักธุรกิจระดับประเทศ
กิจกรรมเริ่มต้นด้วยการบรรยายหัวข้อ “สัญญาธุรกิจระหว่างประเทศ: การบริหารความเสี่ยงและข้อพิพาท” โดย ศาสตราจารย์พิเศษ วิชัย อริยะนันทกะ อดีตผู้พิพากษาอาวุโสศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง ซึ่งเน้นย้ำถึง “ความจำเป็นเร่งด่วน” ที่ผู้บริหารยุคใหม่ต้องเข้าใจการบริหารความเสี่ยงทางกฎหมาย โดยเฉพาะในเวทีระหว่างประเทศที่มีความซับซ้อนและค่าใช้จ่ายสูง
‘เสี่ยงอย่างมีสติ’
ข้อพิพาทระหว่างประเทศไม่ใช่แค่เรื่องของกฎหมาย แต่คือการบริหารความสัมพันธ์
กรณีคดี Walter Bau AG ถูกยกเป็นตัวอย่างสำคัญ แม้คำชี้ขาดอนุญาโตตุลาการ ณ นครเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ กำหนดให้ไทยจ่ายเพียง 29 ล้านยูโร แต่ค่าใช้จ่ายทางกฎหมายกลับสูงกว่าหลายเท่า สะท้อนถึงความเปราะบางของการตัดสินใจในระดับผู้บริหาร และความจำเป็นในการวางแผนล่วงหน้าเพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียงบประมาณมหาศาล
ศาสตราจารย์พิเศษ วิชัย ยังอธิบายถึงรากฐานของข้อพิพาทดังกล่าวว่า มีที่มาจากสนธิสัญญาคุ้มครองการลงทุนทวิภาคี (BIT) ซึ่งกำหนดหลัก “การปฏิบัติอย่างเป็นธรรมและเที่ยงธรรม” (Fair and Equitable Treatment: FET) โดยบริษัทคู่สัญญาอ้างว่าการแก้ไขสัญญาสัมปทานดอนเมืองโทลล์เวย์หลายครั้งเป็นการแทรกแซงโดยพลการ หรือเทียบเท่าการเวนคืนทรัพย์สิน ซึ่งเข้าข่าย “ความเสี่ยงทางการเมือง”
แม้รัฐบาลไทยเลือกไม่จ่ายทันทีและยื่นคำร้องเพิกถอนในหลายประเทศ แต่สุดท้ายไม่เป็นผล และนำไปสู่การบังคับคดีในศาลสหรัฐฯ ที่นิวยอร์ก ซึ่งศาลรับไว้เพื่อสนับสนุนระบบอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ การดำเนินการทางกฎหมายนี้ได้ตอกย้ำถึงความเปราะบางของความสัมพันธ์ทางธุรกิจเมื่อถูกนำเข้าสู่กระบวนการศาลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“การใช้ระบบศาลในการระงับข้อพิพาท เป็นการทำลายความสัมพันธ์ทางธุรกิจในระยะยาว เพราะศาลคือระบบที่มุ่งเน้นการเอาชนะและเปิดเผยข้อเสียของคู่ความ ซึ่งสวนทางกับเป้าหมายของธุรกิจที่ต้องการความต่อเนื่องและความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกัน” ศาสตราจารย์พิเศษ วิชัย กล่าว พร้อมย้ำว่า การบริหารความเสี่ยงในโลกธุรกิจยุคใหม่จึงจำเป็นต้องมองลึกถึง “การบริหารจัดการสัญญา” หรือ Management of Contract มากกว่าการเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้คดีในศาล
ดังนั้น "สัญญาที่ดีไม่ใช่แค่มีเงื่อนไขรัดกุม” เท่านั้น “แต่ต้องเปิดทางให้เกิดความร่วมมือเมื่อเกิดปัญหา” การบริหารจัดการสัญญาเชิงรุกจึงหมายถึงการติดตามและประเมินความเสี่ยงตั้งแต่เริ่มต้น พร้อมจัดการปัญหาเล็กๆ โดยไม่ปล่อยให้ “ควัน” กลายเป็น “ไฟ” ลุกลามกลายเป็นข้อพิพาทใหญ่ เช่นเดียวกับคดีเหมืองทองอัครา (Kingsgate) ที่รัฐบาลไทยเลือกเจรจาแทนการต่อสู้ในศาล หลังนักลงทุนต่างชาติใช้ค่าสินไหมทดแทนที่ได้รับจากการประกันภัยความเสี่ยงทางการเมืองเป็นทุนดำเนินคดี
กลยุทธ์นี้ไม่เพียงลดผลกระทบด้านเศรษฐกิจ แต่ยังรักษาความสัมพันธ์และความเชื่อมั่นกับนักลงทุน ทำให้ข้อพิพาทจบลงอย่างราบรื่นโดยไม่สร้างความเสียหายระยะยาวต่อประเทศ ซึ่งถือเป็น “วิสัยทัศน์สำคัญ” ที่ผู้บริหารระดับสูง จำเป็นต้องมีเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจให้ยั่งยืนในเวทีโลก
กฎหมายไม่ทันโจร
‘เมื่อเทคโนโลยีแซงหน้ากฎหมาย’ ผู้ประกอบการต้องรู้เท่าทัน
ในช่วงที่สอง หัวข้อ “Panel Discussion: บริหารจัดการอย่างมืออาชีพเมื่อธุรกิจมีปัญหาด้วยเทคนิคทางกฎหมาย” ทีมคณาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิจากคณะนิติศาสตร์ปรีดี พนมยงค์ ได้ร่วมนำเสนอแนวคิดเชิงวิเคราะห์ในการเจาะลึกเทคนิคทางกฎหมาย นำโดย อาจารย์ ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ คณบดีคณะนิติศาสตร์ปรีดี พนมยงค์ และประธานกรรมการหลักสูตร Super LBA รุ่นที่ 1 และรุ่นที่ 2 พร้อมด้วย รองศาสตราจารย์อัจฉรียา ชูตินันทน์ รองศาสตราจารย์พินิจ ทิพย์มณี อาจารย์ ดร.จิรวุฒิ ลิปิพันธ์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วีระยุทธ ลาสงยาง และ ร.อ.หญิง ดร.ภัทร์ดารัสมิ์ ทองสลวยกร
การเสวนาครอบคลุมประเด็นสำคัญ เช่น การเลือกกฎหมายที่ใช้บังคับต่อสัญญา (Choice of Law) และการระงับข้อพิพาท (Choice of Forum) รวมถึงความเสี่ยงด้านแรงงานและความรับผิดของนิติบุคคล โดยเฉพาะในธุรกิจเฉพาะทางอย่าง พลังงานและสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งกฎหมายยังตามไม่ทันเทคโนโลยีและอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ โดย ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ ชี้ว่า “ผู้ประกอบการต้องระมัดระวังในการเลือกกฎหมายที่ใช้บังคับต่อสัญญาและกลไกการระงับข้อพิพาท เนื่องจากประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของไทยถูกออกแบบมาเพื่อรองรับการซื้อขายภายในประเทศ จึงอาจไม่ครอบคลุมเงื่อนไขการส่งมอบซับซ้อนตามหลัก Incoterms ซึ่งมุ่งเน้นการโอนความเสี่ยงแห่งภัยพิบัติ”
ในประเด็นความเสี่ยงด้านกฎหมายแรงงาน คณะอาจารย์ต่างเน้นย้ำว่า การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมเป็นเรื่องสำคัญ โดยองค์กรต้องสามารถพิสูจน์ต่อศาลได้ว่ามีการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคลภายในอย่างเต็มที่แล้ว เช่น การลดวันทำงาน การงดโอที หรือการรวมกะ ก่อนการตัดสินใจเลิกจ้าง นอกจากนี้ในส่วนของความรับผิดทางแพ่งและอาญาของนิติบุคคล การวิเคราะห์ชี้ว่ากฎหมายกำลังเปลี่ยนจากหลักความรับผิดตามเจตนาไปสู่หลักความรับผิดโดยเคร่งครัด (Strict Liability)
สำหรับสินค้าที่ไม่ปลอดภัย และกฎหมายยังเปิดช่องให้สามารถกำหนดค่าเสียหายในเชิงลงโทษ (Punitive Damages) ได้สูงถึง 5 เท่าของความเสียหายจริง ขณะเดียวกัน ความเร็วของเทคโนโลยีและอาชญากรรมทางเศรษฐกิจได้แซงหน้าการพัฒนากฎหมายด้านการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน โดยเฉพาะในธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล
อาจารย์ ดร.สุทธิพล ได้ย้ำถึงภาพรวมของความท้าทายนี้ “ข้อสรุปก็คือ กฎหมายพัฒนาช้า ส่วนโจรกับเทคโนโลยีไปไกลแล้ว” ในสภาวการณ์เช่นนี้ หัวใจสำคัญของการอยู่รอดของผู้ประกอบการ คือ “การบริหารความเสี่ยงด้วยความรู้พื้นฐานที่จำเป็น” และ “การตัดสินใจที่ถูกต้อง” โดยเฉพาะการเลือกนักกฎหมายที่มีความสามารถ—ไม่ใช่เพียงเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่เพื่อวางแนวป้องกันที่มั่นคงในระยะยาว
“การเลือกใช้นักกฎหมายที่เก่ง หรือการรู้จักใช้กฎหมายที่มีอยู่ให้เป็นและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด จึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะเราไม่อาจรอให้มีการพัฒนากฎหมายที่ดีให้ทัน จึงจำเป็นต้องอาศัยกลไกเหล่านี้เพื่อเป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงให้เหมาะสม”
ปั้นแบรนด์จากรากมะพร้าว
ขยายธุรกิจครอบครัวสู่ตลาดโลก ‘ธุรกิจไทยต้องกล้าปรับสูตร’
สำหรับช่วงสุดท้ายของกิจกรรม ปิดเวทีด้วยหัวข้อ CEO Talk โดย คุณเกียรติศักดิ์ เทพผดุงพร กรรมการบริหาร บริษัท เทพผดุงพรมะพร้าว จำกัด ได้ถ่ายทอดบทเรียนกลยุทธ์สำคัญ ที่ทำให้เขาเปลี่ยนผ่านธุรกิจครอบครัวสู่การขยายตลาดระดับโลก โดยคุณเกียรติศักดิ์เล่าถึงการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญจากการค้าปลีกมาสู่การผลิตในระบบ อุตสาหกรรม ซึ่งเริ่มต้นจาก "กะทิถุง" เป็นผลิตภัณฑ์แรกที่บุกเบิกตลาด หลังจากนั้นบริษัทได้เริ่มขยายตลาดสู่ต่างประเทศ ควบคู่ไปกับการพัฒนานวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ที่เน้นลดการใช้เหล็กและช่วยลดการปล่อยคาร์บอน เพื่อตอบโจทย์แนวคิดการพัฒนาที่ยั่งยืน
หัวใจสำคัญของการเจาะตลาดโลกคือการเข้าใจความแตกต่างด้านการบริโภค เช่น ตลาดจีนที่นิยมดื่มกะทิไขมันต่ำอย่างชัดเจน ทำให้บริษัทต้องกล้าที่จะ "ปรับสูตร" และปรับบรรจุภัณฑ์ให้เหมาะสมกับความต้องการเฉพาะของผู้บริโภคในแต่ละประเทศ ซึ่งคุณเกียรติศักดิ์ย้ำว่า “ถ้าไม่กล้าปรับ เราจะไม่มีโอกาสแข่งขันในตลาดโลก”
กระนั้นก็ดี คุณเกียรติศักดิ์ยังมีความท้าทายครั้งใหญ่ทั้งจากภายนอกและภายในประเทศ เริ่มตั้งแต่วิกฤตการใช้แรงงานลิงในปี 2562 ซึ่งกระทบยอดขายและการสนับสนุนต่างประเทศอย่างรุนแรง โดยการแก้ไขปัญหานี้ต้องอาศัยการร่วมมือกับภาครัฐ ควบคู่ด้วยการทำ MOU กับสวนมะพร้าว และการตรวจสอบจากหน่วยงานอิสระ เช่น BV Certify เพื่อยืนยันมาตรฐานจริยธรรมของห่วงโซ่อุปทาน
ต่อด้วยเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในปี 2554 แต่ทว่าด้วยความเด็ดขาดในการเตรียมความพร้อมเชิงรุกไว้ บริษัทจึงได้จัดเตรียมกระสอบทรายกว่า 118,000 ลูก รวมถึงการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามในช่วงวิกฤตโควิด-19 เพื่อดูแลพนักงาน จนทำให้การผลิตยังคงเดินหน้าอย่างต่อเนื่องโดยไม่สะดุด
ปัจจุบัน บริษัทเทพผดุงพรมะพร้าว จำกัด จึงยังใช้ทุกส่วนของมะพร้าวตามโมเดล BCG (Bio-Circular-Green Economy) โดยใช้กากและเปลือกมะพร้าวเป็นเชื้อเพลิงผลิตพลังงานทดแทน พร้อมกันนี้ยังได้พัฒนาสินค้าจากมะพร้าวอย่างต่อเนื่อง จนมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายกว่า 200 ชนิดในปัจจุบัน
ความสำเร็จในการส่งออกไปกว่า 85 ประเทศทั่วโลกสะท้อนให้เห็นถึงรากฐานของความยั่งยืน การใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า และการบริหารจัดการที่ครบวงจรของบริษัท ทั้งหมดนี้คือบทเรียนเชิงกลยุทธ์ที่ชี้ให้เห็นว่า การใช้ทรัพยากรอย่างครบถ้วนและการปรับตัวอย่างต่อเนื่องคือ กุญแจสู่การเป็น Green Industry และการสร้างธุรกิจไทยให้ก้าวไกลสู่เวทีโลก


