เสนาธิการกองทัพภาคที่ 1 แจงเลื่อนประชุม RBC กับกัมพูชา จาก 25-27 ก.ย.เป็นเดือนหน้า ไม่ได้มีอะไรซับซ้อน แต่รอรายละเอียดการแก้ปัญหาสแกมเมอร์-เก็บกู้ทุ่นระเบิด รวมถึงการจัดการพื้นที่ชายแดน ถ้ายังไม่ชัดเจนคุยไปก็เสียเวลาเปล่า ด้านโฆษก ทบ.เผยเลื่อนเพราะกัมพูชายังไม่ได้ทำตามที่ตกลง และฝ่ายไทยมีเปลี่ยนแปลงหลายตำแหน่งใน ทบ.
วันนี้ (24 ก.ย.) พลตรี สุรวิชญ์ แดงจันทร์ เสนาธิการกองทัพภาคที่ 1 ในฐานะโฆษกกองทัพภาคที่ 1 ระบุถึงสาเหตุที่กองทัพภาคที่ 1 ขอเลื่อนการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค หรือ RBC สมัยพิเศษ ครั้งที่ 1 ระหว่างกองทัพภาคที่ 1 และภูมิภาคทหารที่ 5 ของกัมพูชา ในช่วงวันที่ 25-27 กันยายน 2568 เป็นเดือนตุลาคม 2568 ว่า สืบเนื่องจากข้อมูลของสองฝ่ายยังไม่มีความคืบหน้าเท่าที่ควร ทั้งเรื่องการปราบปรามแก๊งสแกมเมอร์ การเก็บกู้ทุ่นระเบิด เนื่องจากแต่ละหน่วยงานที่มีการประสานงานกันอยู่น้้นยังมีการปรับรายละเอียด และมีการเลื่อนกันไปเลื่อนกันมา จึงยังไม่มีข้อมูลความคืบหน้ามานำเสนอมากนัก ดังนั้นจึงเสนอให้เลื่อนการจัดประชุมไปอีกเล็กน้อย ไม่ได้มีอะไรซับซ้อน
แต่ทั้งนี้ยืนยันว่าการประสานการทำงานของทางตำรวจเรื่องปัญหาสแกมเมอร์มีการทำแผนที่เดินหน้าอยู่แล้ว แต่ยังต้องรอข้อมูลว่ามีการปรับเพิ่มหรือไม่ ส่วนเรื่องเก็บกู้ทุ่นระเบิดทางศูนย์ทุ่นระเบิดของกัมพูชาก็มีการเลื่อนการประชุม ดังนั้นจึงเห็นว่าหากจะจัดการประชุม RBC ก็ควรจะมีรายละเอียดในระดับพื้นที่ที่ชัดเจน ไม่เช่นนั้นจะเสียเวลาเปล่า แม้ว่าบางเรื่อง เช่น ปัญหาสแกมเมอร์จะเดินหน้าไปแล้ว แต่ก็ต้องการเห็นข้อมูลที่อัปเดตเพิ่มเติมให้ชัดเจน รวมทั้งในเรื่องการจัดการพื้นที่ชายแดน
พลตรี สุรวิชญ์ยืนยันว่าจะเลื่อนออกไปไม่นาน ส่วนจะกระทบต่อไทม์ไลน์การประชุม GBC วันที่ 10 ตุลาคมนี้หรือไม่นั้นยังตอบไม่ได้ แต่การประชุม RBC อาจจะเกิดก่อน 10 ตุลาคมนี้ก็ได้ ซึ่งการเลื่อนประชุมต่างๆ ก็มีเหตุผลบางอย่าง แม้อาจจะมีไทม์ไลน์ไว้ แต่หากมีความจำเป็นก็ต้องขยับไป
ด้าน พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกองทัพบก กล่าวว่า มีปัจจัยการเลื่อนอยู่ 2 ประเด็น การปรับเปลี่ยนหลายตำแหน่งภายในกองทัพบก โดยเฉพาะระดับแม่ทัพภาค ต้องมีการรับ-ส่งหน้าที่ ซึ่งจะมีผลภายใน 1 ต.ค. อีกทั้งสถานการณ์ในพื้นที่ยังปฏิบัติไม่ได้ตามกรอบที่ตกลงกันไว้ เช่น บ้านหนองจาน บ้านหนองหญ้าแก้ว อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว ยังมีความขัดแย้งเรื่องมวลชนกัมพูชา ยังไม่มีความเรียบร้อย
ส่วนการประชุม RBC พื้นที่กองทัพภาคที่ 2 ปัจจุบันยังไม่ชัดเจนเรื่องการกำหนดหัวข้อการพูดคุย อีกทั้งการให้ข่าวสารที่ออกมาทางฝ่ายกัมพูชายังมีการบิดเบือน ซึ่งส่งผลให้บรรยากาศการเจรจาไม่ราบรื่น
สถานการณ์ในภาพรวมของพื้นที่กองทัพภาคที่ 2 หลังทหารกัมพูชายิงปืนเล็ก ช่องภูผี จังหวัดศรีสะเกษ นั้น เป็นการใช้อาวุธขนาดเล็ก ยังไม่มีท่าทีจะคุกคามด้วยอาวุธอย่างจริงจัง ซึ่งทางฝ่ายกัมพูชาชี้แจงว่าเป็นปืนลั่น ซึ่งก็เป็นไปได้ทั้งหมด แต่ในด้านทางยุทธวิธี อาจจะมองได้ว่าเป็นการตรวจเช็กความพร้อมการวางกำลังฝ่ายไทยก็เป็นได้ ก็ยังต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นก็เป็นการยั่วยุ และยังมีการเพิ่มเติมกำลังเข้าพื้นที่
พลตรี วินธัยระบุว่า การปกป้องภารกิจชายแดนเป็นหน้าที่กองทัพบกอยู่แล้ว นำไปสู่แนวทางสันติ กระทบต่อภาพลักษณ์ในเวทีนานาชาติ โดยทางรัฐบาลและกระทรวงกลาโหมก็ให้การสนับสนุนมาโดยตลอด ส่วนกรณีที่นำกำลังหน่วยอรินทราช ของตำรวจไปประจำการพื้นที่ชายแดนนั้นยังไม่ทราบข้อมูล แต่หากเป็นข้อเท็จจริงก็อาจจะเป็นการเตรียมพร้อม เนื่องจากว่ากัมพูชาก็ยังเดินเกมด้วยการใช้มวลชน เพื่อต้องการภาพนำไปสื่อสารในสังคมต่างประเทศ แต่เชื่อว่าในระดับสากลน่าจะรู้ทันกันอยู่
การใช้มวลชนเป็นโล่มนุษย์ ยังอยู่ที่บ้านหนองจาน และบ้านหนองหญ้าแก้ว ยังไม่ขยายไปพื้นที่อื่น ในขณะที่ ผบ.ทบ.กำชับให้เตรียมความพร้อมไว้เสมอและดูแลกำลังพลให้ดี อาจต้องยืนระยะยาว ก็ต้องอยู่ให้ได้ เพื่อรองรับทุกสถานการณ์ ไม่ให้ประชาชนผิดหวัง เพราะวันนี้ไม่มีหลักประกันอะไรที่ชัดเจนอยู่แล้ว สถานการณ์เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ต้องพิจารณา เหตุการณ์ในระดับพื้นที่ ระดับบุคคล ตามที่แม่ทัพภาคที่ 2 ระบุหากมีการรุกล้ำก็ให้ใช้อาวุธได้ทันที
พลตรี วินธัยย้ำว่า การกำหนดไทม์ไลน์การแก้ไขปัญหาสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ให้ยุติโดยเร็ว เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบเรื่องเศรษฐกิจของประเทศไปกว่านี้ ขึ้นอยู่กับกรอบการเจรจาทวิภาคี ที่ผ่านมากองทัพบกก็ดำเนินการตามกรอบการเจรจามาโดยตลอด แต่ก็ลำบากใจเช่นกัน เพราะกัมพูชาไม่ได้ให้ความร่วมมือ เท่าที่ควร นับว่าถึงเวลาแล้วต้องดำเนินการ ยกระดับให้มีความเข้มข้นมากยิ่งขึ้น ผู้บังคับได้ในบางเรื่อง ส่วนที่มองว่าเป็นการพายเรืออยู่ในอ่างนั้นคงไม่ใช่ เพราะฝ่ายไทยมีความคืบหน้า เพียงแต่ฝ่ายกัมพูชาไม่ให้ความร่วมมือเท่าที่ควร