วันที่ 5 กันยายน 2568 คณะนิติศาสตร์ปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) ได้จัดกิจกรรม “ศาลจำลอง" (Moot Court Workshop) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตร Super LBA รุ่นที่ 2 ณ ห้องปฏิบัติการศาลจำลอง อาคาร 3 ชั้น 10 เพื่อสร้างความเข้าใจเชิงลึกในกระบวนการยุติธรรมของไทยผ่าน Play roles และการจำลองสถานการณ์จริงในห้องพิจารณาคดี โดย ศาสตราจารย์พิเศษ วิชัย อริยะนันทกะ อดีตผู้พิพากษาอาวุโสศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง และ อาจารย์โชติช่วง ทัพวงศ์ อดีตผู้พิพากษาอาวุโสศาลอุทธรณ์ภาค 7 ร่วมกิจกรรมด้วย โดยให้เกียรติเป็นองค์คณะผู้พิพากษาที่พิจารณาคดี และขณะเดียวกันก็เป็นวิทยากรพิเศษร่วมให้ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายอาญาและกระบวนพิจารณาของศาลยุติธรรมในเชิงลึก
ทั้งนี้ได้กำหนดข้อเท็จจริงสมมติเรื่องเป็นคดีอาญา ซึ่งเป็น CEO ของบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ถูกฟ้องเป็นจำเลยในข้อหาฆ่าคนตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, ปลอมเอกสาร และยักยอกทรัพย์ ซึ่งตัวแทนของผู้เข้ารับการอบรมหลักสูตร Super LBA รุ่นที่ 2 ประมาณ 20 คน ได้ร่วมทำกิจกรรมนี้โดยได้สวมบทบาทสมมติ เป็นพนักงานอัยการโจทก์ จำเลย ทนายความจำเลย พยาน หน้าบัลลังก์ ตำรวจศาล ฯลฯ เพื่อสัมผัสประสบการณ์จริงในห้องพิจารณาคดี พร้อมเรียนรู้บทบาท หน้าที่ และความละเอียดอ่อนของแต่ละตำแหน่งอย่างใกล้ชิด โดยระหว่างกิจกรรมในห้องพิจารณาคดี ผู้เข้าร่วมต้องปฏิบัติตามมารยาทและข้อกำหนดของศาลอย่างเคร่งครัด อาทิ เช่น ปิดเสียงโทรศัพท์มือถือ ห้ามนั่งไขว่ห้าง เพื่อรักษาความเป็นระเบียบและแสดงความเคารพต่อกระบวนการยุติธรรม
ก่อนเริ่มกระบวนการพิจารณาในศาลจำลอง ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ คณบดีคณะนิติศาสตร์ปรีดี พนมยงค์ และประธานกรรมการหลักสูตร Super LBA รุ่นที่ 2 ได้สรุปเนื้อหาของข้อเท็จจริงในคดีสมมติ กฎหมายที่เกี่ยวข้อง พร้อมกล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการจัดกิจกรรมศาลจำลองให้กับผู้บริหารระดับสูงเป็นครั้งแรกของประเทศไทย โดยย้ำว่ากิจกรรมศาลจำลองไม่ใช่การแสดงละคร ซึ่งผู้ถูกกำหนด play roles ให้สวมบทบาทที่แตกต่างกัน จะไม่ได้มีบทละครให้ท่องจำเพื่อเล่นตามบทละคร แต่จะเล่นตามความเข้าใจในเนื้อหาของคดี ข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ประเด็นที่ต้องพิสูจน์ หรือ defend ในฝ่ายของตน ทั้งนี้ เพื่อให้ผู้เข้าร่วมเรียนรู้จากประสบการณ์จริง ซึ่งจะทำให้เกิดความเข้าใจกระบวนการที่ซับซ้อนได้อย่างรวดเร็ว ทั้งยังเป็นการฝึกทักษะ การจับประเด็น การทำงานเป็นทีม รวมทั้งฝึกทักษะในการเป็นผู้นำ ฯลฯ
สำหรับการพิจารณาคดี ศาสตราจารย์พิเศษ วิชัย เริ่มต้นด้วยการอธิบายถึง หลักภาระการพิสูจน์ (Burden of Proof) และหลักมาตรฐานการพิสูจน์ (Standard of Proof) ในคดีอาญา ซึ่งตกอยู่กับฝ่ายโจทก์เสมอ โดยโจทก์ต้องพิสูจน์ว่าจำเลยกระทำความผิดโดยปราศจากข้อสงสัย พร้อมกล่าวว่า หากมีข้อสงสัย ศาลต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลย
ด้านอาจารย์โชติช่วง ได้เสริมด้วยการอธิบาย หลักกฎหมายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2 วรรค 1 ที่บัญญัติว่า "บุคคลจะต้องได้รับโทษในทางอาญาต่อเมื่อได้กระทำการอันกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำนั้นบัญญัติเป็นความผิดและกำหนดโทษไว้" พร้อมทั้งชี้ให้เห็นว่าหลักการสันนิษฐานว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่มีความผิดนั้นมีรากฐานมาจากรัฐธรรมนูญ ปี 2560 มาตรา 29 วรรค 2
อาจารย์โชติช่วง ยังได้เน้นย้ำถึงหลักการในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 ที่บัญญัติให้ "ศาลใช้ดุลพินิจวินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานทั้งปวง อย่าพิพากษาลงโทษจนกว่าจะแน่ใจว่ามีการกระทำความผิดจริง และจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดนั้น" และ "เมื่อมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยได้กระทำผิดหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลย"
ระหว่างกระบวนการพิจารณาในห้องพิจารณาของศาลจำลอง อดีตผู้พิพากษาและอาจารย์ยังได้ให้คำแนะนำและข้อสังเกตที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ทั้งในด้านเทคนิคการต่อสู้คดีและหลักการทางกฎหมายที่ทันสมัย โดยศาสตราจารย์พิเศษวิชัย เน้นถึงจริยธรรมของผู้พิพากษาในคดีจริง ซึ่งต้องวางตัวเป็นกลางอย่างเคร่งครัด
อีกทั้งยังกล่าวถึงการใช้ Alibi หรือการอ้างฐานที่อยู่ เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ว่าจำเลยอยู่ที่อื่นในช่วงเวลาที่เกิดเหตุ รวมถึงแนวทาง “Hot Tub” ของศาลอังกฤษ ที่เปิดโอกาสให้ผู้เชี่ยวชาญจากทั้งสองฝ่ายตอบคำถามเดียวกันพร้อมกัน เพื่อให้ศาลสามารถเปรียบเทียบข้อเท็จจริงได้อย่างรอบด้าน
ขณะที่อาจารย์โชติช่วง อธิบายถึงประเด็นเรื่องพยานหลักฐานอิเล็กทรอนิกส์ โดยระบุว่า คลิปวิดีโอหรือคลิปเสียงถือเป็นพยานเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ตามมาตรา 226/3 ซึ่งสามารถรับฟังได้ หากพิสูจน์ว่าเป็นภาพจริง เสียงจริง ไม่ถูกตัดต่อแก้ไข และมีผู้รับรองความถูกต้อง เช่น เจ้าของกล้อง ผู้ดูแล หรือผู้เชี่ยวชาญมาเบิกความยืนยัน
เพื่อให้เห็นภาพรวมของกระบวนการพิสูจน์ข้อเท็จจริง อาจารย์โชติช่วงยังได้กล่าวถึงบทบาทของพนักงานสอบสวนในฐานะพยานปากสุดท้าย ซึ่งมีหน้าที่รวบรวมพยานแวดล้อมและหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ เช่น เศษเนื้อที่พบในมือของผู้ตาย รวมถึงการตรวจดีเอ็นเอเพื่อใช้ในการชี้บ่งและมัดตัวจำเลย โดยทั้งหมดนี้ต้องอยู่ภายใต้การพิจารณาอย่างเป็นกลางของผู้พิพากษา ซึ่งจะซักถามพยานเฉพาะเมื่อจำเป็น เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ตามหลักจริยธรรมของข้าราชการตุลาการ
หลังจากการสืบพยานและถามค้านฝ่ายละสี่ปาก นอกจากทั้งสองฝ่ายได้แถลงการณ์ปิดคดีเพื่อสรุปประเด็นสำคัญ ซึ่ง “ฝ่ายโจทก์” ได้เน้นย้ำถึงแรงจูงใจทางการเงินของจำเลยจากหลักฐานการยักยอกทรัพย์ และการพบ DNA ของจำเลย ที่จุดเกิดเหตุเพื่อเรียกร้องให้ลงโทษในข้อหาฆาตกรรม ส่วน “ฝ่ายจำเลย” ได้ชี้ให้เห็นถึง ความไม่ชัดเจนและความขัดแย้ง ในพยานหลักฐานของโจทก์ โดยเน้นหลักการที่ว่าหากยังมีความสงสัย ศาลควรยกประโยชน์นั้นให้จำเลยเสมอ จากนั้น อาจารย์ ดร.สุทธิพล ได้ให้ผู้เรียนซึ่งร่วมฟังการพิจารณาคดีและสืบพยานในศาลจำลองมีส่วนร่วมโดยโหวตว่าจำเลย "Guilty" หรือ "Not Guilty" เพื่อจำลองบทบาทของคณะลูกขุนในระบบศาลอเมริกัน ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้เชิงปฏิบัติที่สำคัญและสร้างความตระหนักรู้ในกระบวนการยุติธรรม
ศาสตราจารย์พิเศษ วิชัย ได้กล่าวชมเชยการเรียนรู้รูปแบบใหม่นี้ว่าเป็นวิธีศึกษากระบวนพิจารณาในศาลที่มีความคิดสร้างสรรค์ว่า “วิธีทำให้เข้าใจระบบศาลได้ดีที่สุด คือการนำระบบที่เข้าใจออกมาดูว่ามันคืออะไร” พร้อมกับยกย่องผู้เข้าร่วมว่าเป็นผู้แถลงการณ์ที่มีความเป็นธรรมชาติและมีพรสวรรค์ โดยเฉพาะการเขียนคำถามเพิ่มเติมให้ทนายความของตนเอง ซึ่งช่วยกระตุ้นให้เกิดการคิดวิเคราะห์และการตั้งคำถามเชิงกลยุทธ์
ศาสตราจารย์พิเศษวิชัย ยังได้กล่าวเน้นย้ำถึงคุณค่าของทักษะที่ได้รับจากกิจกรรมนี้ว่า “ผมต้องการให้พวกท่านซึ่งเป็นผู้บริหาร ได้ใช้ความสามารถในการโน้มน้าวจิตใจคนอื่นให้คล้อยตามท่าน ไม่ใช่ด้วยวาทศิลป์ แต่ด้วยความจริงใจด้วยเหตุผล และเชื่อมั่นว่าเมื่อผู้บริหารออกไปทำงานในที่สาธารณะ ความรู้และทักษะเหล่านี้จะช่วยพัฒนาศักยภาพในการบริหารจัดการให้ดียิ่งขึ้น” ก่อนสิ้นสุดกิจกรรมศาลจำลอง ผู้เข้ารับการอบรมหลักสูตร Super LBA รุ่นที่ 2 ได้กล่าวเป็นเสียงเดียวกันด้วยความชื่นชมว่ากิจกรรมนี้เป็นกิจกรรมที่มีประโยชน์มาก ทั้งได้รับความเพลิดเพลิน สนุก ได้ฝึกการแสดงภาวะผู้นำ การทำงานเป็นทีม ฝึกไหวพริบและการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า จึงอยากให้มีกิจกรรมนี้ในรุ่นต่อๆ ไปด้วย