เปิดคำสั่งศาลฎีกาฯ ชี้ขบวนการส่งตัว “ทักษิณ” เข้าพักชั้น 14 รพ.ตำรวจไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ได้ป่วยวิกฤตจริงตามที่อ้าง และตัวจำเลยก็รู้ตัวว่าไม่ได้ป่วยหนัก มีเพียงโรคประจําตัวที่รักษาตัวแบบผู้ป่วยนอกได้ และยังมีส่วนตัดสินใจในกระบวนการรักษาของแพทย์ ไม่อาจอ้างว่าเป็นการดําเนินการของแพทย์และเจ้าหน้าที่ได้ จึงให้กลับเข้าไปรับโทษในเรือนจำ 1 ปี ตามที่ได้รับพระราชทานอภัยโทษลดโทษ
งานประชาสัมพันธ์ แผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง ฉบับที่ ๑๗ วันอังคารที่ ๙ กันยายน ๒๕๖๔ เผยแพร่ข่าวแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง
วันนี้ เวลา ๑๐ นาฬิกา ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง อ่านคําสั่งคดี หมายเลขดําที่ บุค๑/๒๕๖๘ กรณีศาลมีคําสั่งให้ไต่สวนว่า การบังคับโทษพันตํารวจโทหรือนายทักษิณ ชินวัตร จําเลย เป็นไปตามหมายจําคุกเมื่อคดีถึงที่สุดในคดีหมายเลขแดงที่ อม ๔/๒๕๕๑ คดีหมายเลขแดงที่ อม ๕/๒๕๕๑ และคดีหมายเลขแดง ที่ อม ๑๐/๒๕๕๒ ของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง หรือไม่ โดยให้โจทก์ จําเลย ผู้บัญชาการ เรือนจําพิเศษกรุงเทพมหานคร อธิบดีกรมราชทัณฑ์ และนายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตํารวจ ยื่นคําชี้แจงข้อเท็จจริง
โจทก์ จําเลย ผู้บัญชาการเรือนจําพิเศษกรุงเทพมหานคร อธิบดีกรมราชทัณฑ์ และนายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาล ตํารวจ ยื่นคําชี้แจงข้อเท็จจริงต่อศาลพร้อมเอกสารประกอบ
ศาลไต่สวนพยานรวม ๓๑ ปาก
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยประการแรกว่า ศาลมีอํานาจไต่สวนการบังคับโทษของจําเลย หรือไม่ เห็นว่า การไต่สวน เพื่อตรวจสอบว่าได้มีการบังคับโทษให้เป็นไปตามหมายจําคุกเมื่อคดีถึงที่สุดของศาลหรือไม่ มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายรับรองไว้ ในข้อกําหนดเกี่ยวกับการดําเนินคดีของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง พ.ศ. ๒๕๖๒ ข้อ ๖๑ วรรคสอง แม้ผู้บัญชาการเรือนจําพิเศษกรุงเทพมหานครและอธิบดีกรมราชทัณฑ์จะมีอํานาจตามพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา ๕๕ และกฎกระทรวงการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจํา พ.ศ. ๒๕๖๓ แต่การนําตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอก เรือนจํานั้นต้องอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริงที่เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของกฎหมายว่าด้วยการส่งผู้ตัวผู้ต้องขังไปรักษา ตัวนอกเรือนจําด้วย มิใช่ว่าเมื่อเรือนจําพิเศษกรุงเทพมหานครหรือกรมราชทัณฑ์ใช้อํานาจตามกฎหมายที่บัญญัติไว้เป็นการ เฉพาะแล้วจะไม่อยู่ภายใต้การตรวจสอบความถูกต้องชอบด้วยกฎหมายโดยศาล ดังนั้น หากความปรากฏแก่ศาลว่าอาจมีการ บังคับโทษผู้ต้องขังในคดีนี้ไม่เป็นไปตามหมายจําคุกเมื่อคดีถึงที่สุด ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองซึ่งเป็นศาลที่มี คําพิพากษาและออกหมายจําคุกเมื่อคดีถึงที่สุดย่อมมีอํานาจไต่สวนและตรวจสอบว่า การที่ผู้บัญชาการเรือนจําพิเศษ
กรุงเทพมหานครส่งตัวจําเลยไปรักษาตัวนอกเรือนจําและอธิบดีกรมราชทัณฑ์อนุญาตให้จําเลยรักษาตัวอยู่ภายนอกเรือนจํา ต่อเนื่องจนได้รับการปล่อยตัว เป็นไปตามหลักเกณฑ์ตามพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา ๕๕ และกฎกระทรวง ที่เกี่ยวข้องหรือไม่ และเป็นการบังคับโทษให้เป็นไปตามหมายจําคุกเมื่อคดีถึงที่สุดของศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความอาญา มาตรา ๘๙ หรือไม่
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยประการต่อไปว่า การไต่สวนของศาลเป็นการดําเนินกระบวนพิจารณาซ้ํากับคําสั่ง ของศาลที่ให้ยกคําร้องเมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๖๖ และวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗ หรือไม่ เห็นว่า ที่มาของประเด็นที่ศาลนี้ ได้วินิจฉัย ตามที่นายชาญชัยยื่นคําร้องมาก่อนหน้านี้ทั้งสองฉบับก่อให้เกิดประเด็นแห่งคดีตามคําร้องฉบับแรกที่ยื่นเมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๖๖ ว่า เจ้าหน้าที่ของกรมราชทัณฑ์ปฏิบัติหน้าที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และเกิดประเด็นแห่งคดีตามคําร้อง ฉบับที่สองที่ยื่นเมื่อวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗ ว่า กรณีตามคําร้องที่ยื่นมีการทุเลาการบังคับโทษตามประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๔๖ หรือไม่ ส่วนที่มาแห่งประเด็นแห่งคดีของการไต่สวนครั้งนี้ กําหนดประเด็นการไต่สวน ตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏต่อศาล ซึ่งแสดงให้เห็นว่ากรณีอาจมีการบังคับโทษไม่เป็นไปตามหมายจําคุกเมื่อคดีถึงที่สุดของศาลซึ่งยังไม่เคยมีคําวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นนี้มาก่อน ทั้งการไต่สวนของศาลก็ไม่ได้อาศัยเนื้อหาตามคําร้องของนายชาญชัยแต่อย่างใด การดําเนินกระบวนพิจารณาไต่สวนของศาลในชั้นนี้จึงไม่เป็นการดําเนินกระบวนพิจารณาซ้ํากับคําสั่งศาลตามคําร้องทั้งสองฉบับ
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยประการสุดท้ายว่า มีการบังคับโทษจําเลยเป็นไปตามหมายจําคุกเมื่อคดีถึงที่สุดหรือไม่
ในวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๖๖ หลังจากเรือนจําพิเศษกรุงเทพมหานครได้รับตัวจําเลยไว้ตามหมายจําคุกเมื่อคดีถึงที่สุดแล้วได้นํา ตัวจําเลยไปคุมขังไว้ที่ห้องกักโรค แดน ๗ ซึ่งเป็นสถานพยาบาลของเรือนจําพิเศษกรุงเทพมหานคร โดยมีแพทย์ประจําทัณฑ สถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ตรวจร่างกายจําเลยขณะรับตัวและสรุปประวัติการรักษาโรคของจําเลยจากเวชระเบียนของ โรงพยาบาลต่างประเทศ รวม ๑๐ โรค อาการโดยรวมทั้งหมดคงที่ มีเพียง ๓ โรค ที่แพทย์ประจําทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์เห็นว่าจําเลยควรได้รับการตรวจเพิ่มเติม ได้แก่ โรคกระดูกสันหลังทับเส้นประสาทและโรคหัวใจเนื่องจากทัณฑสถานโรงพยาบาล ราชทัณฑ์ไม่มีแพทย์เฉพาะทาง และโรคไวรัสตับอักเสบบี เนื่องจากทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ไม่มีคลินิกโรคตับ
จึงมีความเห็นว่าจําเป็นต้องส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลภายนอกเรือนจําซึ่งมีศักยภาพสูงกว่าในวันและเวลาราชการ แต่อยู่ในภาวะที่ไม่ใช่กรณีฉุกเฉิน สอดคล้องกับความเห็นของศาสตราจารย์เกียรติคุณนายแพทย์ ประสิทธิ์ วัฒนาภา แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากแพทยสภา แต่ข้อเท็จจริงได้ความจากพยาบาลเวรว่า ในคืนวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๖๖ เวลา ๒๒ นาฬิกา จําเลยแจ้งว่ามีอาการอ่อนเพลีย ขาขวาอ่อนแรงเล็กน้อย นอนไม่หลับ บ่นแน่นหน้าอกและมีความดันโลหิตสูง วัดความดันโลหิตจําเลยได้ ๑๗๘/๙๘ มิลลิเมตรปรอท หัวใจเต้น ๘๖ ครั้ง/นาที หายใจ ๒๔ ครั้ง/นาที ออกซิเจนปลายนิ้ว ๙๒ เปอร์เซ็นต์ อุณหภูมิร่างกาย ๓๖.๘ องศาเซลเซียส พยาบาลเวรทําบันทึกข้อความขอส่งตัวจําเลยไปรักษาตัวนอกเรือนจํา พัศดีเวรอนุญาตให้ส่งตัวจําเลยไปรักษาตัวนอกเรือนจํา หลังจากนั้นเรือนจําพิเศษกรุงเทพมหานครส่งตัวจําเลยไปโรงพยาบาลตํารวจ โดยไม่ได้ส่งตัวจําเลยไปที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ซึ่งมีแพทย์เวรประจําอยู่ในคืนดังกล่าว และทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์อยู่ห่างจากเรือนจําพิเศษกรุงเทพมหานครเพียง ๒๐๐ เมตร ตามพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. ๒๕๖๐ และกฎกระทรวงดังกล่าวมีสาระสําคัญของการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจําที่จะต้องปฏิบัติเป็นลําดับขั้นตอนดังนี้ กล่าวคือ เมื่อผู้ต้องขังป่วยต้องได้รับการตรวจจากแพทย์ในสถานพยาบาลของเรือนจําโดยเร็วตามมาตรา ๕๕ วรรคหนึ่ง ประกอบกฎกระทรวงดังกล่าวข้อ ๒ วรรคหนึ่ง หากแพทย์เห็นว่าผู้ต้องขังรักษาตัวในสถานพยาบาลของเรือนจําแล้วจะไม่ทุเลาดีขึ้น และแพทย์ พยาบาล หรือเจ้าพนักงานเรือนจําซึ่งผ่านการอบรมด้านการพยาบาลเสนอให้เจ้าพนักงานเรือนจําพาผู้ต้องขังไปรักษานอกเรือนจําจึงให้ส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจําได้ การส่งตัวจําเลยไปรักษาตัวนอกเรือนจําไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา ๕๕ และกฎกระทรวงการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจํา พ.ศ. ๒๕๖๓ นอกจากนี้ การส่งตัวจําเลยออกไปรักษาตัวนอกเรือนจําแบบฉุกเฉินเนื่องจากจําเลยมีอาการแน่นหน้าอก แต่ข้อเท็จจริงได้ความจากเจ้าพนักงานเรือนจําชุดควบคุมว่า เมื่อส่งตัวจําเลยไปถึงโรงพยาบาลตํารวจได้พาจําเลยไปที่ห้องพักพิเศษ ชั้นที่ ๑๔ ของอาคารมหาภูมิพลราชานุสรณ์ ๘๘ พรรษา (มมร.) ซึ่งไม่ใช่ห้องฉุกเฉินหรือห้องอุบัติเหตุ ขัดกับระเบียบโรงพยาบาลตํารวจ ว่าด้วยการรับตัวผู้ป่วยคดีที่เป็นผู้ต้องหา ผู้ต้องกัก ผู้ต้องขังหรือนักโทษเข้ารับการรักษาพยาบาลเป็นผู้ป่วยของโรงพยาบาลตํารวจ พ.ศ. ๒๕๕๗ ที่กําหนดแนวทางการตรวจรักษาในกรณีผู้ป่วยฉุกเฉินไว้ในข้อ ๕.๓ ว่า ในกรณีนอกเวลาราชการ แพทย์ผู้ปฏิบัติหน้าที่ที่ห้องฉุกเฉินและอุบัติเหตุจะเป็นผู้ให้การตรวจ รักษา และกําหนดแนวทางการรับตัวผู้ป่วยคดีไว้ในห้องผู้ป่วยไว้ในข้อ ๖.๒ ว่า ให้รับตัวผู้ป่วยคดีไว้ที่ห้องผู้ป่วยที่โรงพยาบาลตํารวจจัดไว้สําหรับผู้ต้องหา ผู้ต้องกัก ผู้ต้องขังหรือนักโทษ เว้นแต่นายแพทย์ใหญ่ (สบ ๘) จะพิจารณาอนุญาตเป็นอย่างอื่น ประกอบกับได้ความจากศาสตราจารย์เกียรติคุณนายแพทย์ ประสิทธิ์ และศาสตราจารย์นายแพทย์ ไชยรัตน์ ที่ให้ความเห็นเกี่ยวกับการรักษาจําเลยในคืนที่รับตัวสรุปได้ว่า เมื่อพยานทั้งสองตรวจสอบจากเวชระเบียนบันทึกความคืบหน้าการรักษา เอกสารหมาย ศ.๒ แผ่นที่ ๑๔ และที่ ๑๕ พบว่าในวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๖๖ ที่มีการส่งตัวจําเลยมาที่โรงพยาบาลตํารวจโดยอ้างว่าเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินนั้น ไม่มีการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ และไม่มีการตามแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจมาดูอาการในทันที เพิ่งจะมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจเข้ามาตรวจจําเลยในวันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๖๖ หรือหลังจาก ๒๔ ชั่วโมงไปแล้ว และได้ความจากนายแพทย์ วัฒน์ชัย มิ่งบรรเจิดสุข ผู้อํานวยการทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ในขณะนั้น
และนายแพทย์ พงศ์ภัค ซึ่งเป็นแพทย์เชี่ยวชาญเกี่ยวกับโรคหัวใจ สรุปได้ว่า ที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์มีเครื่องมือตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ มียาขยายหลอดลมและยาลดความดันโลหิตที่ใช้รักษาจําเลยตามเวชระเบียนของโรงพยาบาลตํารวจในวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๖๖ แสดงให้เห็นได้ว่าอาการของจําเลยในคืนเกิดเหตุอยู่ในศักยภาพที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์สามารถรักษาได้ ไม่จําต้องส่งตัวจําเลยไปรักษานอกเรือนจํา เชื่อได้ว่าในคืนวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๖๖ จําเลยไม่ได้มีอาการแน่นหน้าอก แต่อ้างว่ามีอาการแน่นหน้าอกเพื่อให้เจ้าหน้าที่เรือนจําพิเศษกรุงเทพมหานครใช้เหตุดังกล่าวเป็นข้ออ้างในการส่งตัวจําเลยไปรักษา นอกจากนี้ยังได้ความจากนายแพทย์ วัฒน์ชัยและนายแพทย์ พงศ์ภัคอีกว่า อาการของจําเลยตามที่ระบุในเวชระเบียนของโรงพยาบาลตํารวจนับแต่วันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๖๖ เป็นต้นไปนั้น ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์สามารถดูแลจําเลยได้ ซึ่งข้อเท็จจริงในส่วนนี้พันตํารวจเอก นายแพทย์ ชนะก็เบิกความยืนยันว่าอาการของจําเลยตั้งแต่วันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๖๖ จําเลยสามารถกลับไปรักษาตัวที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ได้ จึงเห็นได้ว่า อาการแน่นหน้าอกของจําเลยหากเกิดขึ้น จริงดังที่จําเลยอ้าง อาการของจําเลยก็ทุเลาดีขึ้นและจําเลยก็สามารถกลับไปรักษาตัวที่สถานพยาบาลของเรือนจําพิเศษกรุงเทพมหานครหรือทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ได้ตั้งแต่วันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๖๖ เป็นต้นไป สําหรับการรักษาจําเลยที่โรงพยาบาลตํารวจตั้งแต่วันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๖๖ จนถึงวันที่จําเลยออกจากโรงพยาบาลตํารวจเมื่อวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗ นั้น แพทย์โรงพยาบาลตํารวจออกใบแสดงความเห็นแพทย์ให้เรือนจําพิเศษกรุงเทพมหานครและผู้บัญชาการเรือนจําพิเศษกรุงเทพมหานครใช้ใบรับรองแพทย์ฉบับลงวันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๖๖ วันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๖๖ และวันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๖๖ เป็นหลักฐานประกอบบันทึกข้อความถึงอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ขออนุญาตให้จําเลยพักรักษาตัวนอกเรือนจําต่อไปเกินกว่า ๓๐ วัน ๖๐ วัน และ ๑๒๐ วัน โดยอ้างเหตุต้องรักษาแผลผ่าตัด ต้องรับการผ่าตัดเร่งด่วน ต้องรักษาสมองขาดเลือดและผ่าตัดภาวะ กระดูกคอเสื่อม ตามลําดับ ทั้งที่การผ่าตัดตามที่ระบุในใบแสดงความเห็นแพทย์เป็นการผ่าตัดนิ้วล็อก ผ่าตัดเอ็นหัวไหล่ขวาซึ่งฉีกขาดเพราะจําเลยประสบอุบัติเหตุขณะพักอยู่ที่โรงพยาบาลตํารวจและมิใช่สาเหตุการป่วยอันเป็นเหตุที่อ้างใช้ส่งตัวจําเลยมาที่โรงพยาบาลตํารวจ และการผ่าตัดภาวะกระดูกคอเสื่อมแพทย์เคยเสนอจําเลยให้ผ่าตัดภายหลังจากจําเลยอยู่โรงพยาบาลตํารวจ แต่จําเลยปฏิเสธการผ่าตัด ทั้งได้ความว่าในที่สุดก็ไม่มีการผ่าตัดกระดูกคอกดทับไขสันหลังและเส้นประสาทของจําเลยแต่อย่างใด จนกระทั่งจําเลยออกจากโรงพยาบาลตํารวจ
ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่า การบังคับโทษจําคุกจําเลยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และตามพฤติการณ์ดังกล่าวมาข้างต้น บ่งชี้ให้เห็นว่าจําเลยทราบข้อเท็จจริงหรือรับรู้เหตุการณ์ได้ว่าตนไม่ได้ป่วยวิกฤตฉุกเฉิน แต่จําเลยมีเพียงโรคประจําตัวซึ่งเป็นโรค เรื้อรังที่รักษาตัวแบบผู้ป่วยนอกได้ โดยไม่จําเป็นต้องนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลตํารวจ เพราะเป็นข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพและสภาวะร่างกายของจําเลยเอง นอกจากนั้นยังได้ความว่าจําเลยเข้ามามีส่วนตัดสินใจในกระบวนการรักษาของแพทย์ โดยปฏิเสธการผ่าตัดรักษาโรคหัวใจและโรคกระดูกคอกดทับไขสันหลังและเส้นประสาท แต่ให้แพทย์รักษาโดยการรับประทานยาตามอาการและเลือกรับการผ่าตัดนิ้วล็อกและเอ็นหัวไหล่ขวาซึ่งไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนและเป็นผลทําให้การรักษาตัวจําเลยในโรงพยาบาลตํารวจขยายระยะเวลาออกไป จําเลยจึงได้รับประโยชน์จากการพักอยู่ที่โรงพยาบาลตํารวจโดยไม่ต้องกลับไปถูกคุมขังที่เรือนจําพิเศษกรุงเทพมหานครจนได้รับการปล่อยตัว และไม่อาจอ้างว่าเป็นการดําเนินการของแพทย์และเจ้าหน้าที่ มิได้เกิดจากการกระทําของจําเลยเพื่อถือเอาประโยชน์จากระยะเวลาที่พักอยู่ที่โรงพยาบาลตํารวจมาหักวันคุมขังโทษตามคําพิพากษา
เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๖ มีพระบรมราชโองการพระราชทานพระมหากรุณาอภัยลดโทษให้จําเลยเหลือโทษจําคุกต่อไปอีก ๑ ปี ตามกําหนดโทษตามคําพิพากษา ดังนี้ ย่อมมีผลทําให้จําเลยได้รับการลดโทษ และต้องรับโทษจําคุกตามคําพิพากษาต่อไปอีก ๑ ปี นับแต่วันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๖ แต่หามีผลทําให้การบังคับโทษจําคุกจําเลยสิ้นสุดลงไม่ เมื่อการบังคับโทษจําเลยเป็นไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายดังที่ได้วินิจฉัยมาข้างต้น กระบวนการบังคับโทษรวมทั้งการพักการลงโทษจําเลยจึงไม่มีผลตามกฎหมาย และไม่อาจนําเอาระยะเวลาที่พักอยู่ที่โรงพยาบาลตํารวจมาหักเป็นวันคุมขังได้ จําเลยจึงต้องรับโทษจําคุกอีก ๑ ปี ตามพระบรมราชโองการ