เปิดความจริงให้ครบทุกมิติ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ไม่ใช่เทวดาที่แตะต้องไม่ได้ แต่เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่ทำผิดพลาดในเรื่องสำคัญหลายอย่าง ล่าสุดที่พิสูจน์ชัดคือการปล่อยปละละเลยให้เขมรยึดดินแดน จนกระทั่งล่าสุดเราเพิ่งได้ปักธงที่ภูมะเขือ ได้ล้อมรั้วช่องอานม้า ได้ไล่เขมรออกไปจากบ้านหนองจานจุดที่ “วีระ สมความคิด” ถูกจับ ไม่นับรวมเรื่องก่อนหน้านั้นทั้งแอบหลิ่วตาให้คนของ “ฮุนเซน” สร้างบ่อนช่องสายตะกูในพื้นที่พิพาท ปล่อย “ยิ่งลักษณ์” หนีคดีจำนำข้าว ทำดีล “ลังกาวี” ช่วย “ทักษิณ”ได้อภัยโทษแบบรวดเร็วปานจรวด ให้ได้นอนชั้น 14 จนกระบวนการยุติธรรมบิดเบี้ยว
ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก” เมื่อวันศุกร์ที่ 8 สิงหาคม 2568 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการ ได้กล่าวถึงกรณีที่ดินแดนไทยถูกกัมพูชารุกล้ำว่า หัวเชื้อ-รากเหง้าของเรื่องนี้อยู่ที่แผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ที่นักการเมืองไทยตั้งแต่ยุค นายชวน หลีกภัย ไปยอมรับและต่อมามีการจัดทำบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลกัมพูชาเรื่องการจัดทำเขตแดนทั้งทางบก และทางทะเล หรือ MOU 2543 และ 2544
ตั้งแต่ปี 2453-2544 จากยุครัฐบาลนายชวน หลีกภัย พรรคประชาธิปัตย์ เรื่อยมาถึงวันนี้ พ.ศ. 2568 ผ่านมา 25 ปี ก็ยังไม่มีใครแก้ปัญหานี้เลย โดยเฉพาะในยุคที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี กุมอำนาจเบ็ดเสร็จหลังการรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 มีอำนาจพิเศษในฐานะหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2557 อยู่เต็มมือถึง 5 ปี จนถึงช่วงเลือกตั้งปี 2562 หลังจากนั้นก็เป็นนายกฯ ต่อเนื่องจนถึงการเลือกตั้งปี 2566 รวมแล้วนั่งอยู่ในตำแหน่งนายกฯ 8-9 ปี ก็ไม่ได้ทำอะไร จนสุดท้าย “ฝีปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา” ก็แตกปะทุออกมาเป็นสงครามช่วงวันที่ 24-28 ก.ค. 2568
พล.ท.กนก เนตระคะเวสนะ อดีตรองแม่ทัพภาคที่ 2 และอดีตผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี กับ วาสนา นาน่วม นักข่าวสายทหาร ที่รู้ลึกและเกาะติดเรื่องทหารมาหลายสิบปี ออกมายืนยันเรื่องนี้หลายครั้ง
พล.ท.กนกยืนยันว่าปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาควาย ทั้ง 3 ปราสาทนี้อยู่ในเขตประเทศไทย โดยยึดตามแผนที่ของกองทัพไทยคือแผนที่ 1 ต่อ 50,000 ซึ่งมีหลักฐานเป็นภาพถ่ายชัดเจน ในช่วงปี 2551 ได้มีรั้วกั้นแนวชายแดน โดยทหารไทยเป็นผู้ถือกุญแจเปิด-ปิดตามเวลา หากนักท่องเที่ยวชาวกัมพูชาจะขึ้นมาเที่ยวที่ปราสาทตาเมือนธม จ.สุรินทร์ จะต้องมารับบัตรคิว ก่อนผ่านขึ้นไปเที่ยวบนปราสาท
“ผมได้ถ่ายภาพร่วมกับ รมช.กลาโหมกัมพูชา และผู้บัญชาการภูมิภาคทหารที่ 4 ในสมัยนั้น ซึ่งได้ถ่ายภาพนี้ไว้ในวันที่ 13 สิงหาคม 2551 ซึ่งยืนอยู่ที่รั้วทางขึ้นปราสาทตาเมือนธม ฝั่งประเทศไทย มีภาพของ พล.ท.เจีย มอญ ผบ.ภูมิภาคทหารที่ 4 พล.ต.กนก ผบ.กกล.สุรนารี (ยศในขณะนั้น) พล.อ.เนียง พาด รมช.กลาโหม และ พล.ต.สลัยดึ๊ก (ยศในขณะนั้น) ไว้เป็นหลักฐาน” พล.ท.กนกระบุ
ช่วงปี 2551-2554 นั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาทำอะไรอยู่?
วันที่ 1 ตุลาคม 2551 ถึง 30 กันยายน 2552 : พล.อ.ประยุทธ์ ดำรงตำแหน่ง เสนาธิการทหารบก (เสธ.ทบ.)
วันที่ 1 ตุลาคม 2552 ถึง 30 กันยายน 2553 : ดำรงตำแหน่ง รองผู้บัญชาการทหารบก (รอง ผบ.ทบ.)
วันที่ 1 ตุลาคม 2553 ถึง 30 กันยายน 2557 :ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.)
ช่วงที่ปี 2554-2556 น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกฯ แล้ว พล.อ.ประยุทธ์ เป็นผู้บัญชาการทหารบก ทำงานใกล้ชิดกันตลอด ลงพื้นที่ด้วยกัน กินข้าวด้วยกัน นั่งรถคันเดียวกัน นั่งเฮลิคอปเตอร์ลำเดียวกัน เอานิ้วจิ้มแผนที่ คุยกันกระหนุงกระหนิง จนมีคนเขาเอามาทำคลิปล้อเลียนกระทั่งกองทัพบกต้องออกมาขู่ว่าจะฟ้อง
ในเดือนมิถุนายน 2556 มี “คลิปลับถั่งเช่า” ซึ่งเว็บไซต์ Manager Online นำมาเปิดเผยในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม 2556 ซึ่งในเวลาต่อมามีคนชี้เป้าว่าเป็นเสียงสนทนาระหว่าง ทักษิณ ชินวัตร ขณะเป็นนักโทษหนีคดี กับ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รมช.กลาโหม ในเวลานั้น โดยมีตอนหนึ่ง ทักษิณบอกเลยว่า “ไว้ใจไอ้ตู่มาก”
อย่างไรก็ตาม ปลายปี 2556 ที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยของยิ่งลักษณ์ผลักดัน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแบบสุดซอย นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ของพรรคประชาธิปัตย์ ก่อตั้ง กปปส.ขึ้นมา ซึ่งก็เชื่อมโยงกับ พล.อ.ประยุทธ์ เพื่อขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ กลายเป็นการชุมนุมยาว 6 เดือน จนกระทั่ง พล.อ.ประยุทธ์ ผบ.ทบ.ในเวลานั้น ใช้ข้ออ้างเรื่องกลัวว่าจะเกิดเหตุการณ์นองเลือดในประเทศจึงทำรัฐประหารเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557
ภายหลังการรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 เพียงไม่กี่วัน แกนนำกลุ่ม กปปส.ก็จัดงานฉลองวันเกิดให้แกนนำในธีมทหาร และสิ่งที่นายสุเทพ กับเหล่าแกนนำ กปปส.ได้รับตอบแทน คือนายสุเทพส่งคนของตัวเองสอดแทรกเข้าไปเป็นรองผู้ว่าฯ กทม. ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ไปเป็นรัฐมนตรี ยุบยับไปหมด ก่อนที่จะเข้าไปสังกัดพรรคพลังประชารัฐ ลงรับเลือกตั้งปี 2562 และได้เป็นรัฐมนตรีหลายคนหลังการเลือกตั้ง
ในยุคต่อมาเมื่อ พล.อ.ประยุทธ์แตกคอกับพี่ใหญ่ 3 ป. คือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พอใกล้เลือกตั้งปี 2566 ก็มีการตั้งพรรครวมไทยสร้างชาติ ขึ้นมาแข่งกับพรรคพลังประชารัฐที่ พล.อ.ประวิตรยึดเอาไว้เรียบร้อยแล้ว
ถามว่า พล.อ.ประยุทธ์ใช้ใครเป็นคนก่อตั้ง และบริหารจัดการพรรครวมไทยสร้างชาติ?
คำตอบก็คือ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เป็นหัวหน้าพรรค และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กับ นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ ลูกเลี้ยงของนายสุเทพ อดีตโฆษก กปปส.เป็นเลขาธิการพรรค
แต่ว่า ณ วันนี้ ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ขึ้นไปดำรงตำแหน่งองคมนตรีเรียบร้อยแล้ว แต่คนที่บรรดาตั้งฉายาว่าเป็น DNA ลุงตู่อย่างนายพีระพันธุ์ กับลูกเลี้ยงของกำนันสุเทพอย่าง นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ ทำอะไรอยู่?
คำตอบอยู่ในภาพงานเลี้ยงพรรคร่วมรัฐบาลเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคมที่ผ่านมา ที่โรงแรมอิสติน พญาไท (สองวันก่อนที่กัมพูชาจะบุกไทย และเกิดการปะทะใหญ่ในวันที่ 24 กรกฎาคม) ขณะที่บรรยากาศชายแดนกำลังฮึ่มฮ่ำอยู่ เพราะปัญหาที่ตระกูลชินวัตร กับตระกูลฮุนเซนก่อขึ้น วันเดียวกันนั้น ขณะที่ประชาชนกำลังร้อนใจระดมเงินบริจาคเพื่อช่วยกองทัพ “DNA ลุงตู่” กับ “ลูกไล่ลุงตู่/ลูกเลี้ยงสุเทพ” ยืนยิ้ม นั่งยิ้ม ยกมือไหว้ นายทักษิณ กับ น.ส.แพทองธาร สบายใจเฉิบอยู่ในงานเลี้ยงที่โรงแรมหรูใจกลางกรุงเทพฯ เหมือนว่าไม่รู้สึกรู้สา ไม่ยี่หระกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นแม้แต่น้อย
จนถึงทุกวันนี้ “DNA ลุงตู่” สองคนนี้ก็ยังก้มกราบ และนั่งกอดเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเอาไว้แน่น ไม่เปลี่ยนแปลง !?!
ปล่อยเขมรฮุบดินแดน
เดือนธันวาคม 2553 นายวีระ สมความคิด ได้เดินทางไปร่วมงานที่ชุมชน "บ้านสันปันน้ำ" ชายแดนพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ ก่อนจะไปลงพื้นที่ตรวจสอบที่ได้รับเรื่องร้องเรียนว่าทหารกัมพูชารุกล้ำเข้ามาในเขตไทย บริเวณบ้านหนองจาน ต.โนนหมากมุ่น อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2553 แล้วถูกทหารกัมพูชาจับกุมตัวพร้อมกับพวกจำนวน 7 คน ซึ่งเป็นสมาชิกของเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ, ญาติธรรมของพุทธสถานสันติอโศก พร้อมกับ นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์
ทั้งหมดถูกตั้งข้อหาเดินทางข้ามพรมแดนโดยผิดกฎหมาย และรุกล้ำเขตทหาร โดยนายวีระ และ น.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ ได้ถูกเพิ่มข้อหาจารกรรมข้อมูลเนื่องจากครอบครองอุปกรณ์กล้องบันทึกภาพและใช้อุปกรณ์ระหว่างการถูกจับกุม
ต่อมาศาลกัมพูชาให้ประกันตัวผู้ถูกจับกุม 5 คน ยกเว้นนายวีระ กับ น.ส.ราตรี ที่ปฏิเสธข้อกล่าวหาโดยยืนยันว่าตนเองถูกจับกุมในอาณาเขตประเทศไทย ซึ่งศาลชั้นต้น กรุงพนมเปญ เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2554 มีคำตัดสินให้จำคุกนายวีระ และ น.ส.ราตรี ในข้อหาเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย บุกรุกเขตทหาร และจารกรรมข้อมูล เป็นเวลา 8 ปี และ 6 ปี จนในวาระพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพอดีตพระมหากษัตริย์ พระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุ รัฐบาลกัมพูชาได้ขอพระราชทานอภัยโทษและปล่อยตัว น.ส.ราตรีเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2556 และลดโทษนายวีระลง 6 เดือน เป็นจำคุก 7 ปี 6 เดือน
กระทั่งวันที่ 1 กรกฎาคม 2557 นายวีระได้รับการพระราชทานอภัยโทษหลังจาก นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ เดินทางเยือนกัมพูชา และได้ยื่นข้อเสนอของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ต่อรัฐบาลกัมพูชา
แต่หารู้ไม่ว่าเบื้องหลังนั้นมันซับซ้อนกว่านั้น เพราะตอนนายวีระถูกจับกุมก็ไม่ได้ช่วยตั้งแต่แรก ทั้งๆ ที่ “3 ป.” กุมอำนาจกองทัพอยู่ นั่นก็เพราะมีการเกี้ยเซียะกับฝ่ายฮุนเซน และเขมร อยู่ตลอด ปล่อยให้มีการรุกล้ำเขตแดนไทยเป็นพื้นที่กว้าง
นายสนธิกล่าวว่า หลังจากนายวีระกลับมาเมืองไทย ได้มาหาที่บ้านพระอาทิตย์ และได้เล่าเบื้องหลังว่า ในคืนวันที่ 1 กรกฎาคม 2557 หลังจากได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำเปร์ยซอว์ นายธัชยุท ภักดี เอกอัครราชทูตไทย ได้พาไปพักที่สถานทูตไทยกรุงพนมเปญ เวลาประมาณ 2 ทุ่มเศษ ได้คุยทางโทรศัพท์กับนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ที่โทร.เข้าสถานทูต แจ้งว่า หัวหน้า คสช.คือ พล.อ.ประยุทธ์ ตั้งใจจะคุยด้วยโดยตรง แต่ติดธุระด่วน จึงให้นายสีหศักดิ์โทร.แจ้งแทนว่าให้หลีกเลี่ยงการให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน โดยเฉพาะประเด็นที่เกี่ยวกับความขัดแย้งเรื่องชายแดน เพราะจะทำให้ฮุนเซนไม่พอใจ และขอให้กล่าวขอบคุณฮุนเซนที่ปล่อยตัว และให้ขอบคุณหัวหน้า คสช.ที่ช่วยเหลือ
ในขณะนั้นนายวีระยังไม่ทราบความจริงไม่ทราบเบื้องลึกเบื้องหลัง ว่ามีใครช่วยเหลือบ้าง ด้วยข้อมูลที่ไม่เพียงพอในขณะนั้น เมื่อพบกับสื่อมวลชนจึงเลือกขอบคุณเฉพาะหัวหน้า คสช.เพียงคนเดียว และการที่ไม่ยอมขอบคุณนายฮุนเซน ทำให้ทั้ง พล.อ.ประยุทธ์และนายฮุนเซนไม่พอใจมาจนถึงทุกวันนี้ แต่หากนายฮุนเซนยอมคืนแผ่นดินไทยและถอนกำลังทหารออกไปจากแผ่นดินไทย ก็อาจขอบคุณเขาก็ได้
จากวันนั้นถึงวันนี้ ตั้งแต่ปี 2553, 2557 จนถึงปี 2568 ฝีก็มาแตกจริงๆ คือหลังจากรับกับกัมพูชาช่วงวันที่ 24-28 ก.ค. กองทัพออกมายอมรับว่าเพิ่งยึดคืนดินแดนไทยที่ถูกกัมพูชาละเมิดอธิปไตยมากถึง 11 จุด โดยต้องแลกกับการสูญเสียชีวิตของทหารหาญไป 15 นาย เสียชีวิตพลเรือนอีก 17 ราย และทรัพย์สินเสียหายอีกมหาศาล
และบริเวณบ้านหนองจาน จุดที่นายวีระถูกกัมพูชาจับกุม ทหารไทยก็เพิ่งยึดกลับคืนมาได้
บ่อนช่องสายตะกูเกิดในยุค คสช.
เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2568 ระหว่างการสู้รบ เกิดเหตุทหารเขมรยิงปืน ค. พลาดใส่ อาคารหลักใหญ่ที่ทราบว่าเป็นศูนย์สแกมเมอร์ และกาสิโนฝั่งกัมพูชา ซึ่งอาคารนี้ก็คือ “บ่อนสายตะกู” หรือ “สายตะกูรีสอร์ต แอนด์ กาสิโน” นั่นเอง
บ่อนสายตะกูนั้นเป็นกาสิโนขนาดใหญ่ที่ถูกก่อสร้างขึ้นบริเวณช่องสายตะกู-จุ๊บโกกี ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยตั้งอยู่บนฝั่ง อ.บันเตียอัมปึล จ.อุดรมีชัย ประเทศกัมพูชา ตรงข้ามกับ อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ ของประเทศไทย โดยเกี่ยวข้องกับกาสิโนในพื้นที่พิพาท ซึ่งมี "ออกญาลึมเฮง" มือขวาของสมเด็จฮุนเซน เป็นเจ้าของ และเกี่ยวข้องกับนักการเมืองและนายพลฝั่งไทยด้วย
“บ่อนสายตะกู” นี้เกิดขึ้นช่วงหลังการยึดอำนาจปี 2557
ข้อมูลจากวงใน บ่อนแห่งนี้ขออนุญาตก่อสร้างมาตั้งแต่ปี 2551 แต่ไม่ได้รับการอนุมัติ จนกระทั่งมีการยึดอำนาจในปี 2557 การก่อสร้างจึงเริ่มเดินหน้าและแล้วเสร็จในปี 2559 ก่อนที่จะทำพิธีเปิดอย่างไม่เป็นทางการ Soft Opening เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2560!
ช่วง 2557-2560 ใครเป็นนายกฯ ใครเป็นรัฐมนตรีกลาโหม ใครเป็นรัฐมนตรีมหาดไทย?
คำตอบคือ กลุ่ม 3 ป.พี่น้องบูรพาพยัคฆ์ ในกลุ่มของ พล.อ.ประยุทธ์ นั่นเองที่ปล่อยให้กัมพูชากำเริบเสิบสานมาตลอด โดยนอกจากจะหลับตาให้มันมารุกที่ และละเมิดอธิปไตยของชาติไทยแล้ว ก็ยังปล่อยให้มีการสร้างกาสิโน เปิดบ่อนเป็นหอกข้างแคร่ของประเทศไทยโดยตลอด
กาสิโนพวกนี้ก็คือท่อน้ำเลี้ยงและผลประโยชน์ร่วมกันระหว่างตระกูลฮุน นักการเมืองไทย รวมถึงนายทหารระดับนายพลทั้งหลายด้วย!
ใครปล่อย “ยิ่งลักษณ์” หนีคดีไปเขมร?
“คดีจำนำข้าว” เป็นหนึ่งในข้ออ้างและชนวนของการรัฐประหารเมื่อปี 2557 ซึ่งต่อเนื่องมาจากความพยายามออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแบบสุดซอย
ภายหลังการรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 คดีทุจริตจำนำข้าวของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รวมถึงพรรคพวก ไม่ว่าจะเป็นนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์, นายภูมิ สาระผล รมช.พาณิชย์ และข้าราชการอีกล็อตใหญ่ ก็ดำเนินเดินหน้าต่อไป จนกระทั่งวันที่ 25 สิงหาคม 2560 ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนัดฟังคำพิพากษา ทุกคนเดินทางไปศาลกันหมด ยิ่งลักษณ์กลับหายไปเลย ผลก็คือ เจอคุกกันหมด อย่างนายบุญทรงเจอตัดสินคุกไป 42 ปี, ภูมิ สาระผล 36 ปี เป็นต้น
แต่ตัวหลักคือยิ่งลักษณ์หนีไปก่อนหน้านั้นแล้วสองวัน ตั้งแต่วันที่ 23 สิงหาคม 2560 แต่กลับหลอกพรรคพวกคือ นายบุญทรงกับนายภูมิว่า “เดี๋ยวเจอกันที่ศาล” แต่ในความเป็นจริงคือ หนีไปหาฮุนเซนที่กัมพูชาเรียบร้อยแล้ว
ทั้งนี้ เมื่อไล่เรียงเส้นทางการหลบหนีก็จะพบว่ายิ่งลักษณ์วางแผนอย่างดี สลับสับเปลี่ยนรถถึง 3 ครั้ง ตั้งแต่เช้าวันที่ 23 สิงหาคม 2560 จนถึงช่วงที่ออกไปทางด่านชายแดนด้าน อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ก่อนที่รอบสุดท้ายอาศัยรถกระบะปริศนาอีกคันหนึ่งมารับออกจากไทยไปกัมพูชา โดยประเด็นสำคัญคือ “มีวิทยุสื่อสารแจ้งเจ้าหน้าที่บริเวณชายแดนเปิดทางให้ VIP ออกได้โดยไม่ต้องตรวจสอบ ทำให้เธอข้ามแดนได้สำเร็จ!”
ขณะที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคงในเวลานั้นให้สัมภาษณ์บอกว่า ยิ่งลักษณ์เดินทางออกจากประเทศไทยหนีไปกัมพูชาได้แบบสะดวกโยธินโดยมีใบสั่ง
ถามว่า ณ เวลานั้นเดือนสิงหาคม ปี 2560 ซึ่ง คสช.ยังมีอำนาจเต็มมือ กลับมีวิทยุสื่อสารแจ้งเจ้าหน้าที่บริเวณชายแดนบอกเจ้าหน้าที่ให้เปิดทางให้ VIP ออกได้โดยไม่ต้องตรวจสอบ จะเป็นใบสั่งใครได้?
ใครพา “ทักษิณ” กลับไทย-ขอพระราชทานอภัยโทษ-นอน VIP ชั้น 14?
เรื่องการขอพระราชทานอภัยโทษให้นายทักษิณ ชินวัตรนั้น บางคนก็บอกว่า พล.อ.ประยุทธ์ไม่เกี่ยวข้อง เป็นแค่เป็นคนเซ็นชื่อให้ตามระบบการพระราชทานอภัยโทษเท่านั้น แต่ถ้าดูไทม์ไลน์กันแล้ว ก็เกิดคำถามว่ามีการยื่นเรื่องพระราชทานอภัยโทษอย่างรวดเร็วเหมือนจรวดเช่นนี้ได้อย่างไร
วันอังคารที่ 22 สิงหาคม 2566 นายทักษิณ ชินวัตร เดินทางกลับถึงประเทศไทยด้วยเครื่องบินส่วนตัวที่สนามบินดอนเมือง เวลาประมาณ 09.00 น.
วันเดียวกัน เวลา 10.00 น. ขบวนรถตำรวจนำนายทักษิณออกมาจากสนามบินดอนเมือง เพื่อเดินทางไปยังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพื่อแสดงตนต่อหน้าศาล จากนั้นศาลแจ้งและอ่านคดีความให้รับทราบ ก่อนออกหมายขัง
เวลา 13.00 น. เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์รับตัวทักษิณเข้าสู่เรือนจำพิเศษ ดำเนินมาตรการรับคนเข้าใหม่ จัดทำทะเบียนสถานพยาบาล สรุปการตรวจของแพทย์ โดยอ้างว่าพบว่านายทักษิณเป็นกลุ่มเปราะบางเนื่องจากอายุเกิน 60 ปี และเมื่อตรวจสอบประวัติการรักษาที่ผ่านมา ประกอบกับการตรวจของแพทย์เบื้องต้นพบว่ามีโรคประจำตัวต้องเฝ้าระวัง และรักษาอย่างต่อเนื่อง แต่ในข้อเท็จจริงแล้วนายทักษิณยังไม่เข้าเรือนจำเลย เอกสารต่างๆ ที่กรมราชทัณฑ์ทำนั้นเป็นเอกสารปลอม นายทักษิณยังนั่งรออยู่ในรถยนต์ ไม่ยอมลงจากรถยนต์
ทั้งนี้ ภายหลังจากทักษิณกลับไทยได้แค่ 10 วัน ในวันที่ 31 สิงหาคม 2566 นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีและในฐานะรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ยอมรับว่าได้รับเรื่องการขอพระราชทานอภัยโทษของนายทักษิณ แล้ว จากนั้นเรื่องดังกล่าวได้ถูกนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย และในวันที่ 1 กันยายน 2566 ได้มีพระราชหัตถเลขาพระราชทานอภัยลดโทษให้นายทักษิณ จากโทษจำคุก 8 ปี เหลือโทษจำคุก 1 ปี โดยคนที่ลงนามสนองพระบรมราชโองการก็คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
นายสนธิกล่าวว่า เมื่อนายทักษิณรู้ว่าตัวเองไม่ได้รับพระราชทานอภัยโทษ 100% คือยกโทษทั้งหมด แต่กลับเหลือไว้ 1 ปี ก็เลยโกรธ พูดกันในหมู่คนใกล้ชิดว่า ไม่เป็นไปตามที่ตกลงกัน ทั้งหมดนี้มันมีที่มาที่ไปจากการที่ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ และผู้บัญชาการทหารสูงสุดในยุคนั้น บินไปเจอนายทักษิณที่เกาะลังกาวี กระบวนทัศน์คือเอานายทักษิณกลับมา เพื่อนำพรรคเพื่อไทยต่อสู้กับพรรคส้มที่กำลังยิ่งใหญ่ขึ้นมา จึงมีการประสานงานเพื่อเอานายทักษิณกลับมา
อย่างไรก็ตาม นายสนธิกล่าวว่า การขอพระราชทานอภัยโทษที่ใช้เวลาเพียง 10 วันนั้น เร็วยิ่งกว่าติดจรวด เพราะจากประสบการณ์ของตน กระบวนการใช้เวลาหลายเดือน เป็นปี
โดยหลักการการขอพระราชทานอภัยโทษได้ต้องมีโทษเด็ดขาด ต้องร่างหนังสือ ยื่นไปที่ผู้บัญชาการเรือนจำ ถ้าเห็นด้วยก็ส่งไปกรมราชทัณฑ์ ถ้าไม่ขัดข้องก็ส่งไปกระทรวงยุติธรรม จากนั้นส่งไปสำนักนายกฯ แล้วก็ไปสำนักองคมนตรี
แต่กระบวนการทั้งหมดของนายทักษิณกลับเสร็จภายในไม่กี่วัน ทะลุทะลวงจากเรือนจำไปจนจบกระบวนการทูลเกล้าฯ แปลว่ามีการเตรียมการทำเรื่องขอพระราชทานอภัยโทษไว้แล้ว รวมทั้งการที่ นายวิษณุ เครืองาม เนติบริกร ที่เข้าไปดูแลจัดการให้ทักษิณตั้งแต่ในเรือนจำ ไปจนถึงห้อง VIP ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจด้วย ตั้งแต่คืนแรกที่มาถึงด้วย
ถามว่าเรื่องอย่างนี้ นายวิษณุ เครืองาม ทำเองหรือไม่?
คำตอบก็คือ เป็นไปไม่ได้ ก็ต้องนายกฯ คือ พล.อ.ประยุทธ์ สั่ง เพราะฉะนั้นสาธุชนที่ดวงตายังไม่มืดบอดนัก และพอมีปัญญาอยู่บ้างก็คิดเอาเองว่าทั้งหมดทั้งมวลนั้นเป็นยังไง
“ติ่งลุงตู่” อาจจะบอกว่า “ลุงตู่” ไม่เกี่ยว “ลุงตู่” แค่ลงนามสนองพระบรมราชโองการตามขั้นตอนเฉยๆ เพราะตอนนั้นคงดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี
แต่เมื่อปีที่แล้ว วันที่ 22 สิงหาคม 2567 ทักษิณไปขึ้นเวที “Vision For Thailand” ที่จัดโดยเครือเนชั่นกรุ๊ป ในงานบอกว่าอะไรรู้ไหมครับ?
“ทักษิณ” ยอมรับว่ามีการคุยกับ พล.อ.ประยุทธ์จริงๆ โดยในงานพิธีกรถามว่า การกลับมาประเทศไทยหลังออกไป 17 ปี มีดีลจริงไหม ดีลอะไรกับใคร?
ซึ่งตอนแรกนายทักษิณปฏิเสธ บอกว่าดีลอะไรไม่มี แต่สุดท้ายก็ยอมรับว่า ได้โทร.หาพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น แจ้งว่าอยากกลับประเทศ และยังมีปัญหาเรื่องพาสปอร์ต ซึ่งถูกถอนไปหลายปีแล้ว
ในเวลาต่อมา ฝ่าย พล.อ.ประยุทธ์ก็มีการจัดการเรื่องพาสปอร์ตให้จนนายทักษิณ สามารถเดินทางกลับประเทศไทยได้ใน วันที่ 22 สิงหาคม 2566 อย่างราบรื่น อันเป็นจุดเริ่มของปัญหาใหญ่หลวงที่ตามมาอีกมากมาย