สำนักโฆษกกระทรวงกลาโหมโพสต์ย้อนเหตุการณ์ไทยช่วยคนกัมพูชายุคเขมรแดงปี 1976-1980 เปิดประตูรับคนเขมรเป็นที่พึ่งสุดท้าย-เปิดค่ายพักพิงแบบไม่ลังเล แต่เพียงไม่กี่สิบปีผ่านมา เขมรก็ลืมทุกอย่าง จากคนที่เคยหนีตายมาพึ่ง กลายเป็นคนที่หันปากกระบอกปืนกลับมา
วันนี้ (4 ส.ค. 2568) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพจสำนักโฆษกกระทรวงกลาโหมได้เผยแพร่ข้อมูลการช่วยเหลือของฝ่ายไทยที่มีต่อชาวกัมพูชาในยุคเขมรแดง โดยข้อความระบุว่า "จากคนที่หนีตายสู่คนที่หันปากกระบอกปืนกลับมา เมื่อ ‘เขมร’ ลืมทุกอย่างที่ไทยเคยมอบให้ ปี 𝟏𝟗𝟕𝟗… ชาวกัมพูชานับแสน นับล้าน วิ่งหนีตายจากนรกบนดินที่ชื่อว่า “เขมรแดง“ ข้ามพรมแดนมายังไทย ในสภาพหมดเรี่ยวแรง หิวโหย และเกือบสิ้นลมหายใจ คนไทยเปิดประตูให้เขาพักพิง
ตอนนั้นประเทศไทยไม่ได้เป็นเพียง “เพื่อนบ้าน” แต่กลายเป็น “ที่พึ่งสุดท้าย” เราส่งอาหาร เราเปิดค่ายพักพิง เราช่วยเหลือทั้งในนามรัฐบาล องค์กรพัฒนาเอกชน และแม้แต่ชาวบ้านธรรมดาๆ ที่ยอมแบ่งข้าวเพียงคำเดียวให้ผู้ลี้ภัยชาวกัมพูชา
การอพยพที่ไม่มีแผนที่เริ่มตั้งแต่ต้นปี 𝟏𝟗𝟕𝟗 จนถึงต้นยุค 𝟏𝟗𝟖𝟎𝐬 มีชาวกัมพูชาจำนวนมหาศาล บางแหล่งบอกว่ารวมกันถึง 𝟔 แสนถึง 𝟖 แสนคน อพยพอย่างไร้ทิศทาง บางคนเดินเท้าเป็นร้อยกิโลเมตรจากกลางประเทศกัมพูชา หลายคนไร้เอกสาร ไม่มีอาหาร ไม่มีเป้าหมาย จุดหมายเดียวที่หวังพึ่งได้ คือชายแดนฝั่งตะวันออกของประเทศไทย โดยเฉพาะบริเวณอรัญประเทศ, ช่องจอม, กาบเชิง, ปราจีนบุรี, ศรีสะเกษ
ค่ายผู้ลี้ภัยบนผืนดินไทย ไทยตั้ง “ค่ายพักพิง” หลายแห่งเพื่อรองรับชาวเขมรที่หนีตาย ในฐานะประเทศเพื่อนบ้าน ต้อนรับด้วยความระวัง เพราะสถานการณ์ยังปะทุอยู่ แต่เราก็ยัง “ยื่นมือ” ให้พวกเขาโดยไม่ลังเล ค่ายผู้ลี้ภัยจึงถูกตั้งขึ้นชั่วคราว เช่น ค่ายคลองลึก (𝐊𝐥𝐨𝐧𝐠 𝐋𝐞𝐮𝐤)
ค่ายเขาอีด่าง (𝐊𝐡𝐚𝐨-𝐈-𝐃𝐚𝐧𝐠) ค่าย 𝐒𝐢𝐭𝐞 𝐓𝐰𝐨 และ 𝐒𝐢𝐭𝐞 𝐁
บางคนมาไทยในร่างเปลือยเปล่า แต่กลับจากไทยในสภาพพร้อมจะยืนได้อีกครั้ง…" มีเด็กกัมพูชาหลายพันคนโตขึ้นในค่ายผู้ลี้ภัยบนแผ่นดินไทย บางคนเรียนหนังสือที่ครูไทยสอน บางคนรอดชีวิตจากวัณโรค เพราะหมอไทยรักษา บางครอบครัวเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่นี่ ก่อนย้ายไปแคนาดา อเมริกา หรือกลับเขมรในเวลาต่อมา แต่ใครจะคิดว่าเพียงไม่กี่สิบปีต่อมา เขมรกลับลืมทุกอย่าง