แม่ทัพภาคที่ 2 เผยผลตรวจสอบทุ่นระเบิดกู้มาจากช่องบก 8 ลูกชัดเจนว่าถูกนำมาวางใหม่ช่วงหลังปรับกำลัง 8 มิ.ย. อยู่เลยแนววางกำลังของกัมพูชาเข้ามาทางไทย 100-150 เมตร ยังเหลืออีกนับ 100 ลูก เป็นการกระทำที่เลวร้าย มีมาตรการตอบโต้แน่นอน
วันนี้ (19 ก.ค.) ที่กองบัญชาการสุรนารี จ.สุรินทร์ พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 พร้อมด้วย พล.ต.สมภพ ภาระเวช ผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี และ พ.อ.วีระพล พุ่มจิตร ผู้บัญชาการหน่วยปฏิบัติการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรม 3 (นปท.3) ร่วมกันแถลงข่าวเกี่ยวกับผลการตรวจพิสูจน์ระเบิดบริเวณช่องบก อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี จุดที่ทหารไทยได้รับบาดเจ็บ 3 นาย
พ.อ.วีระพลเปิดเผยว่า เมื่อวานนี้ได้ส่งชุดเก็บกู้ท่อนระเบิดจำนวน 7 นาย เข้าไปในพื้นที่เกิดเหตุ พบจุดแรกที่พบ 3 ทุ่น ลักษณะการวางบนผิวดิน รัศมีการวางห่างกัน 40 เซนติเมตร มีใบไม้ปกปิด จุดที่ 2 เจอ 5 ทุ่น การวางเหมือนแบบแรกแต่รัศมีการวางกระจายออกไปห่างประมาณ 90 เซนติเมตร
จากการกู้กับระเบิดทั้ง 8 ลูก มีตัวอักษรชัดเจน ประกอบการวางสามารถบ่งชี้ได้ว่าเป็นของใหม่ หากเป็นของเก่าจะมีวัชพืชปกคลุม
สำหรับจุดที่วางเลยแนวการวางกำลังทหารกัมพูชาประมาณ 100-150 เมตร กองกำลังสุรนารีจะเก็บกู้ทั้งหมดเนื่องจากอยู่ในแผ่นดินไทยโดยใช้ความระมัดระวัง และคาดว่ายังมีหลงเหลืออยู่อีกเป็นหลักร้อย เป็นชนิดเดียวตามที่ปรากฏเป็นข่าว
พล.ท.บุญสินกล่าวว่า ขณะนี้ 2 กรณีต้องดำเนินการคือ รายงานไปถึงศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก และกองทัพบกจะนำเสนอรัฐบาล ให้กระทรวงการต่างประเทศยื่นเรื่องไปที่ยูเอ็น เรื่องอนุสัญญาออตตาวา ยืนยันว่าคู่กรณีเป็นคนวางชัดเจน
ส่วนการตอบโต้เป็นหน้าที่ของกองทัพภาคที่ 2 ที่จะดำเนินการต่อไป และเป็นเรื่องการทางทหาร ไม่สามารถบอกรายละเอียดได้ พร้อมย้ำว่าไม่ต้องรอคำสั่งจากรัฐบาล ถือเป็นยุทธวิธี กองทัพภาคที่ 2 ดำเนินการตอบโต้ได้เลย
พล.ท.บุญสินยังกล่าวถึงกรณีกัมพูชาตั้งข้อสังเกตว่ากับระเบิดถูกวางในพื้นที่ของประเทศไทย อาจเป็นไทยที่เป็นคนวางหรือไม่นั้น ในความเป็นจริงโดยการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมเป็นไปไม่ได้ การวางกับระเบิดหน้าแนว ผู้ที่วางจะต้องผ่านทหารฝ่ายเดียวกันก็คือทหารไทย และต้องได้รับการอนุมัติ ผู้บังคับหน่วยทหารของฝ่ายไทยเท่านั้นที่จะไปหน้าแนวได้ ดังนั้นต้องวางมาจากด้านฝั่งตรงข้าม
ส่วนที่กัมพูชาปฏิเสธ ถือเป็นคำพูดที่เขาสามารถชี้แจงได้ เขาต้องปฏิเสธอยู่แล้ว และการวางกับระเบิดเกิดในห้วงก่อนปรับกำลังช่องบก 28 พ.ค.ที่ผ่านมา ยืนยันว่า กับระเบิดที่พบไม่มีใช้ในกองทัพไทย
"ส่วนที่กัมพูชาอ้างไทยเป็นฝ่ายวางกับระเบิดนั้น คงไม่มีหน่วยทหาร ผู้บังคับหน่วยไหนมาวางระเบิดใส่ลูกน้องตัวเอง คงไม่มี ถ้ามี คงจะเลวร้ายมาก และรับไม่ได้อยู่แล้ว เรามองว่าเป็นไปไม่ได้ เลวร้าย ชั่วร้ายมาก ซึ่งการฟ้องยูเอ็นเป็นการกดดันในเวทีโลก
"พื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ของแผ่นดินไทยที่ฝ่ายตรงข้ามมาวางระเบิด ตามที่ผู้นำของกัมพูชาระบุมาว่าระเบิดนั้นวางในประเทศไทย ซึ่งชัดเจนว่ามีการแทรกซึมเข้ามาวางกับระเบิดในช่วงที่เราถอนกำลังลาดตระเวน เราสามารถตอบโต้ตามขอบเขตความเหมาะสม และเด็ดขาดต่อไป" พล.ท.บุญสินกล่าว พร้อมย้ำว่า ยังไม่ถึงขั้นต้องอพยพประชาชน แต่เราจะดำเนินการเก็บกู้ระเบิดตามแนวชายแดนให้หมด และทำถนนให้ครอบคลุม พร้อมกำชับให้ทหารช่างระมัดระวังมากขึ้น และไม่คาดคิดว่าเขาจะทำผิดอนุสัญญาออตตาวาที่มีต่อกัน เดิมเราต้องระมัดระวังระเบิดเก่าอยู่แล้ว แต่ส่วนใหญ่เสื่อมสภาพหมดแล้ว
เมื่อถามว่าได้ประเมินหรือไม่ฝ่ายตรงข้ามจะเล่นรุนแรงและสกปรก พล.ท.บุญสินกล่าวว่า ไม่คาดคิด เพราะสองประเทศเป็นคู่อนุสัญญาออตาวา ไม่ให้ใช้ระเบิดสังหารบุคคลร่วมกัน ถือเป็นเรื่องใหม่ที่เราต้องเฝ้าระวัง และต้องระวังลูกน้องเราด้วย
พล.ท.บุญสินกล่าวต่อว่า ส่วนการล้อมพื้นที่มีปัญหาว่าต้องเห็นชอบทั้งสองประเทศ เป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องคุยกัน หากไม่เห็นชอบร่วมกันก็จะประท้วงกันไป การล้อมรั้วจุดใดจุดหนึ่งในขณะที่ประเทศคู่กรณีไม่เห็นชอบด้วยจะเป็นปัญหา ล้อมได้ แต่ต้องมีการปะทะกันแน่นอน
ส่วนจะนำเหตุการณ์เหยียบกับระเบิดมาเป็นเงื่อนไขล้อมรั้วได้หรือไม่ พล.ท.บุญสินกล่าวว่า ก็ถือเป็นหนึ่งใน 4 พื้นที่ กัมพูชาไม่ยอมรับอยู่แล้ว ช่องบก เขาก็ไม่ยอมรับ เช่นเดียวกับปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาควาย ปราสาทตาเมือนโต๊ด หากทำอะไรต้องเตรียมพร้อม ซึ่งเป็นปัญหาที่ประชาชนยังไม่ทราบ หากสร้างรั้วทำได้ แต่ต้องใช้กำลังหากอีกฝ่ายไม่เห็นด้วย เพราะเขาไม่ยอมรับอธิปไตยซึ่งกันและกัน
เมื่อถามว่า หลายครั้งที่กัมพูชาละเมิดข้อสนธิสัญญา เพราะเหตุใดเราไม่ตอบโต้กลับ พล.ท.บุญสินกล่าวว่า จะเกิดการปะทะกันด้วยอาวุธ และมีผลกระทบทุกภาคส่วน บางครั้งบางโอกาสถ้าจำเป็นก็หลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน ต้องรอดูสถานการณ์ เนื่องจากบางอย่างต้องดูว่า ประเทศกัมพูชามีอะไรบ้าง และเราดำเนินการอย่างไรต่อไป
พล.ท.บุญสินกล่าวถึงกรณีทหารกัมพูชาใส่ชุดนอกเครื่องแบบเข้ามาในปราสาทตาเมือนธม หวังเพิ่มปริมาณคนกัมพูชาเข้ามาปราสาทตาเมือนธม ก็ดูไม่เหมาะสม ได้แจ้งให้ทาง ผบ.กองกำลังสุรนารีได้ไปคุยกับ พล.ต.เนียะ วงษ์ ผบ.พลน้อย.ร.42 ทุกอย่างให้เป็นไปตามธรรมชาติ ไม่เช่นนั้นก็จะหนักไปเรื่อย ดังนั้นต้องเด็ดขาด
พร้อมยืนยันว่าจากนี้ไปจะทำให้ดีที่สุด และให้จบในยุคของตน เรื่องกับระเบิด ทางกัมพูชาไม่ยอมรับอยู่แล้ว แต่เราก็ต้องแก้ปัญหาต่อไป เพื่อศักดิ์ศรีของประเทศ และของลูกน้องเราด้วย
"อยากฝากถึงประชาชนคนไทยทุกคน ขณะนี้กองทัพไทยโดยกองทัพภาคที่ 2 และรัฐบาล โดยรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมพยายามบริหารประเทศชาติบ้านเมืองที่เกิดขึ้นในขณะนี้ตลอดแนวชายแดน เราจะพยายามทำให้คลี่คลายโดยเร็ว ขอให้ประชาชนอดทน ในส่วนของกองทัพภาคที่ 2 จะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ในปัจจุบันนี้สถานการณ์ตามแนวชายแดน หลังจากที่มีการปรับกำลังก็ไม่มีการรุกล้ำอธิปไตย แม้มีเหตุเหยียบกับระเบิด เราก็กำลังแก้ไขปัญหาให้ชัดเจนต่อไป โดยกองทัพบก กระทรวงการต่างประเทศจะดำเนินการต่อไป ในส่วนของทางการทหารจะตอบโต้ในส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการปกป้องอธิปไตย" แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าว
ด้านเฟซบุ๊ก Army Military Force - สำรอง ได้โพสต์ภาพทุ่นระเบิดที่เก็บกู้ได้ พร้อมข้อความว่า "ล่าสุดกองทัพบกเปิดภาพทุ่นระเบิดสังหารบุคคลแบบ PMN-2 ที่ทหารเขมรแทรกซึมอธิปไตยได้ฝังเอาไว้ใกล้คูเรดในพื้นที่ช่องบกก่อนถอนกำลังออกไป ด้าน พลโท บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาค 2 ระบุว่า ทุ่นระเบิดดังกล่าวเป็นของใหม่ และตนเตรียมโต้กลับทางทหาร พร้อมย้ำว่าไม่ต้องรอคำสั่งจากรัฐบาล ถือเป็นยุทธวิธีที่กองทัพภาคที่ 2 ดำเนินการตอบโต้ได้เลย