บลจ.อยุธยา ส่งกองทุนรวมต่างประเทศ 3 เดือนและครึ่งปี เอาใจนักลงทุนชอบพันธบัตรต่างประเทศ เน้นบอนด์เกาหลีไม่เกิน 40% ส่วนที่เหลือเป็นECP ชูผลตอบแทน 3.1% และ3.5% พร้อมระบุกองตราสารหนี้ยุโรปอาจรีเทริน์ได้ หากผลตอบแทนขยับตามความต้องการของนักลงทุน
นายอาสา อินทรวิชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายการลงทุนตราสารหนี้ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อยุธยา จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทจะทำการเปิดขายหน่วยลงทุนกองทุนเปิดอยุธยาเอ็นแฮนซ์โน้ทพลัส 3M1 และ กองทุนเปิดอยุธยาเอ็นแฮนซ์โน้ทพลัส 6M1 ในระหว่างวันที่ 7 - 14 กรกฎาคมนี้ ซึ่งเปิดโอกาสให้เงินออมเพิ่มค่ามากขึ้น
โดยทั้งสองกองทุนจะนำเงินลงทุนอย่างน้อยร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนจะเน้นลงทุนในตราสารหนี้ที่เสนอขายในต่างประเทศที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือใน 2 อันดับแรก โดยมีผู้ออก ได้แก่ Rabobank, Bank of Scotland, Industrial Bank of Korea, Kookmin Bank, AUST & NZ Bank, ABN Amro Bank ซึ่งจะลงทุนในตราสารของแต่ละแห่งไม่เกิน 25% เป็นต้น อีกทั้งส่วนที่เหลือจะลงทุนในเงินฝากและ/หรือตราสารหนี้ในประเทศที่มีอายุไม่เกิน 1 ปี
สำหรับ กองทุนอยุธยาเอ็นแฮนซ์โน้ทพลัส 3M1 (AYFENP3M1) เป็นกองทุนรวมตราสารหนี้ต่างประเทศอายุ 3 เดือน โดยให้ผลตอบแทนของตราสารอยู่ที่ประมาณ 3.10% ซึ่งกองทุนได้รับอนุมัติจัดตั้งและจัดการเมื่อวันที่ 16 เมษายน ที่ผ่านมา
ส่วนกองทุนอยุธยาเอ็นแฮนซ์โน้ทพลัส 6M1 (AYFENP6M1) เป็นกองทุนรวมตราสารหนี้ต่างประเทศอายุ 6 เดือน ให้ผลตอบแทนของตราสารอยู่ที่ประมาณ 3.50% และได้รับอนุมัติจัดตั้งและจัดการเมื่อวันที่ 14 เมษายน 2551
อย่างไรก็ตาม ทั้งสองกองทุน มีมูลค่าโครงการ 1,500 ล้านบาท โดยมีมูลค่าการซื้อขายขั้นต่ำอยู่ที่ 10,000 บาท มีราคาของหน่วยลงงทัน ที่เสนอขายครั้งแรกอยู่ที่ 10 บาท
นายอาสา กล่าวอีกว่า การที่กองทุนนี้ลงทุนในตราสารหนี้ของประเทศเกาหลีไม่เกิน 40% และส่วนที่เหลือเป็นรูปแบบของ ECP เนื่องจากเพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยง และเป็นความต้องการของลูกค้าบางกลุ่มที่ไม่ต้องการลงทุนเฉพาะตราสารหนี้ของประเทศเกาหลีอย่างเดียว
สำหรับการลงทุนในลักษณะนี้ถึงมีแม้จะมีผลตอบแทนที่ลดลงบาง แต่ยังเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับนักลงทุน
“กองทุนของเรามีเป็นลักษณะนี้ออกมาแล้ว คือไม่ได้มีแต่พันธบัตรเกาหลี เพราะมีลูกค้ากลุ่มใหญ่แสดงความต้องการเข้ามา และถึงแม้ยิลด์มันจะลดลงบ้างก็ไม่เป็นไร เพราะเขาไม่อยากโพกัสไปในสินทรัพย์เดียว แต่เรตติ้งของตราสารที่ลงทุนยังอยู่ในระดับสูงอยู่ดี”นายอาสากล่าว
นายอาสา กล่าวอีกว่า แนวโน้มการลงทุนในพันธบัตรเกาหลีจะขึ้นอยู่กับดีมานของนักลงทุน ซึ่งจะมีออกมาอย่างต่อเนื่อง ถ้าผลตอบแทนยังอยู่ในระดับที่สูง ซึ่งพันธบัตรเกาหลีถือว่าแปลกกว่าตราสารอื่นๆเพราะเมื่อทำฟอร์เวิลด์แล้วผลตอบแทนมันมีโอกาสสูงขึ้นได้
ขณะที่แนวโน้มการลงทุนใน ECP ซึ่งได้รับความนิยมเมื่อปีที่แล้วน่าจะมีโอกาสกลับมาได้รับความนิยมด้วยเช่นกัน เพราะผลตอบแทนเริ่มปรับตัวดีขึ้นบ้างแล้ว แต่คงจะไม่เกี่ยวข้องกับการปรับขึ้น
อัตราดอกเลี้ยของธนาคารกลางยุโรปแต่อย่างใด
ทั้งนี้ การโยกย้ายการลงทุนจะขึ้นอยู่กับผลตอบแทนเป็นหลัก โดยส่วนหนึ่งจะเกี่ยวข้องกับหลักดีมานและซับพลาย ซึ่งหากผลตอบแทนของตรสารหนี้ดีขึ้น จะมีดีมานของกองทุนด้านการลงทุนเพิ่มมากขึ้นเหมือนช่วงที่ผ่านมา
“มันเป็นเรื่องธรรมดาคือผมมองว่ามันมีโอกาสที่กลับมาสำหรับกอง ECP แต่มันจะขึ้นอยู่กับดีมานและซับพลาย ซึ่งถ้าผลตอบแทนดีขึ้นดีมานในการตั้งกองทุนก็เพิ่ม และเหมือนกองเกาหลีมันก็จะโยกไปมาตามผลตอบแทน”นายอาสากล่าว
นายอาสา อินทรวิชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายการลงทุนตราสารหนี้ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อยุธยา จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทจะทำการเปิดขายหน่วยลงทุนกองทุนเปิดอยุธยาเอ็นแฮนซ์โน้ทพลัส 3M1 และ กองทุนเปิดอยุธยาเอ็นแฮนซ์โน้ทพลัส 6M1 ในระหว่างวันที่ 7 - 14 กรกฎาคมนี้ ซึ่งเปิดโอกาสให้เงินออมเพิ่มค่ามากขึ้น
โดยทั้งสองกองทุนจะนำเงินลงทุนอย่างน้อยร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนจะเน้นลงทุนในตราสารหนี้ที่เสนอขายในต่างประเทศที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือใน 2 อันดับแรก โดยมีผู้ออก ได้แก่ Rabobank, Bank of Scotland, Industrial Bank of Korea, Kookmin Bank, AUST & NZ Bank, ABN Amro Bank ซึ่งจะลงทุนในตราสารของแต่ละแห่งไม่เกิน 25% เป็นต้น อีกทั้งส่วนที่เหลือจะลงทุนในเงินฝากและ/หรือตราสารหนี้ในประเทศที่มีอายุไม่เกิน 1 ปี
สำหรับ กองทุนอยุธยาเอ็นแฮนซ์โน้ทพลัส 3M1 (AYFENP3M1) เป็นกองทุนรวมตราสารหนี้ต่างประเทศอายุ 3 เดือน โดยให้ผลตอบแทนของตราสารอยู่ที่ประมาณ 3.10% ซึ่งกองทุนได้รับอนุมัติจัดตั้งและจัดการเมื่อวันที่ 16 เมษายน ที่ผ่านมา
ส่วนกองทุนอยุธยาเอ็นแฮนซ์โน้ทพลัส 6M1 (AYFENP6M1) เป็นกองทุนรวมตราสารหนี้ต่างประเทศอายุ 6 เดือน ให้ผลตอบแทนของตราสารอยู่ที่ประมาณ 3.50% และได้รับอนุมัติจัดตั้งและจัดการเมื่อวันที่ 14 เมษายน 2551
อย่างไรก็ตาม ทั้งสองกองทุน มีมูลค่าโครงการ 1,500 ล้านบาท โดยมีมูลค่าการซื้อขายขั้นต่ำอยู่ที่ 10,000 บาท มีราคาของหน่วยลงงทัน ที่เสนอขายครั้งแรกอยู่ที่ 10 บาท
นายอาสา กล่าวอีกว่า การที่กองทุนนี้ลงทุนในตราสารหนี้ของประเทศเกาหลีไม่เกิน 40% และส่วนที่เหลือเป็นรูปแบบของ ECP เนื่องจากเพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยง และเป็นความต้องการของลูกค้าบางกลุ่มที่ไม่ต้องการลงทุนเฉพาะตราสารหนี้ของประเทศเกาหลีอย่างเดียว
สำหรับการลงทุนในลักษณะนี้ถึงมีแม้จะมีผลตอบแทนที่ลดลงบาง แต่ยังเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับนักลงทุน
“กองทุนของเรามีเป็นลักษณะนี้ออกมาแล้ว คือไม่ได้มีแต่พันธบัตรเกาหลี เพราะมีลูกค้ากลุ่มใหญ่แสดงความต้องการเข้ามา และถึงแม้ยิลด์มันจะลดลงบ้างก็ไม่เป็นไร เพราะเขาไม่อยากโพกัสไปในสินทรัพย์เดียว แต่เรตติ้งของตราสารที่ลงทุนยังอยู่ในระดับสูงอยู่ดี”นายอาสากล่าว
นายอาสา กล่าวอีกว่า แนวโน้มการลงทุนในพันธบัตรเกาหลีจะขึ้นอยู่กับดีมานของนักลงทุน ซึ่งจะมีออกมาอย่างต่อเนื่อง ถ้าผลตอบแทนยังอยู่ในระดับที่สูง ซึ่งพันธบัตรเกาหลีถือว่าแปลกกว่าตราสารอื่นๆเพราะเมื่อทำฟอร์เวิลด์แล้วผลตอบแทนมันมีโอกาสสูงขึ้นได้
ขณะที่แนวโน้มการลงทุนใน ECP ซึ่งได้รับความนิยมเมื่อปีที่แล้วน่าจะมีโอกาสกลับมาได้รับความนิยมด้วยเช่นกัน เพราะผลตอบแทนเริ่มปรับตัวดีขึ้นบ้างแล้ว แต่คงจะไม่เกี่ยวข้องกับการปรับขึ้น
อัตราดอกเลี้ยของธนาคารกลางยุโรปแต่อย่างใด
ทั้งนี้ การโยกย้ายการลงทุนจะขึ้นอยู่กับผลตอบแทนเป็นหลัก โดยส่วนหนึ่งจะเกี่ยวข้องกับหลักดีมานและซับพลาย ซึ่งหากผลตอบแทนของตรสารหนี้ดีขึ้น จะมีดีมานของกองทุนด้านการลงทุนเพิ่มมากขึ้นเหมือนช่วงที่ผ่านมา
“มันเป็นเรื่องธรรมดาคือผมมองว่ามันมีโอกาสที่กลับมาสำหรับกอง ECP แต่มันจะขึ้นอยู่กับดีมานและซับพลาย ซึ่งถ้าผลตอบแทนดีขึ้นดีมานในการตั้งกองทุนก็เพิ่ม และเหมือนกองเกาหลีมันก็จะโยกไปมาตามผลตอบแทน”นายอาสากล่าว
