ญี่ปุ่นกำลังเผชิญกับวิกฤตการกลั่นแกล้งที่สูงเป็นประวัติการณ์ โดยมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ รวมถึงการกลั่นแกล้งทางออนไลน์ อย่างไรก็ตาม โรงเรียนหลายแห่งยังคงไม่ทราบหรือล่าช้าในการแก้ไขปัญหาการกลั่นแกล้ง และการขาดการตอบสนองเบื้องต้นอย่างต่อเนื่องถือเป็นปัญหาสำคัญ จำนวนผู้ป่วยการกลั่นแกล้งที่รุนแรง ซึ่งอาจนำไปสู่การฆ่าตัวตายและการหนีเรียน ก็เพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน
จำนวนผู้ถูกบูลลี่กลั่นแกล้งต่างๆ นอกจากจำนวนเพิ่มขึ้น ยังเป็นระดับรุนแรงที่เพิ่มขึ้น รูปแบบออนไลน์ก็มากขึ้น เสียหายทั้งด้านร่างกายหรือจิตใจอย่างรุนแรง หรือนำไปสู่การขาดเรียนเป็นเวลานาน ก็เพิ่มสูงเป็นประวัติการณ์เช่นกัน (โดยมีนักเรียนมัธยมปลายที่หนีเรียนเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด)
โตเกียว (4 ต.ค.) - ในปี 2567 นักเรียนชั้นประถมศึกษาและมัธยมศึกษาตอนต้นในญี่ปุ่น 353,970 คน ขาดเรียน/หนีเรียน 30 วันขึ้นไป ถือเป็นสถิติสูงสุด เพิ่มขึ้น 2.2 เปอร์เซ็นต์จากปีก่อนหน้า และถือเป็นการเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นปีที่ 12
จากการสำรวจของกระทรวงศึกษาธิการ วัฒนธรรม กีฬา วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ระบุว่า การขาดเรียนที่เพิ่มขึ้นเป็นผลมาจากความตระหนักรู้ในหมู่ผู้ปกครองและผู้ดูแลว่าไม่ควรบังคับให้นักเรียนไปโรงเรียนเมื่อป่วย หรือถูกกลั่นแกล้ง ฯลฯ
ผลสำรวจระบุว่า จำนวนกรณีกลั่นแกล้ง/บูลลี่ที่โรงเรียนประถมศึกษา มัธยมต้น และมัธยมปลายมีทั้งหมด 769,022 ครั้ง โดย 1,405 กรณีถูกจัดประเภทเป็น "เหตุการณ์ร้ายแรง" ที่ส่งผลให้ได้รับบาดเจ็บทางร่างกายหรือต้องหยุดเรียนเป็นเวลานาน ซึ่งตัวเลขทั้งสองนี้สูงเป็นประวัติการณ์
กระทรวงฯ ระบุว่าการเพิ่มขึ้นของคดีร้ายแรงเป็น "สถานการณ์ที่น่ากังวล"
จำนวนกรณีกลั่นแกล้งอยู่ที่ 610,612 ครั้ง ในโรงเรียนประถมศึกษา 135,865 ครั้ง ในโรงเรียนมัธยมต้น 18,891 ครั้งในโรงเรียนมัธยมปลาย และ 3,654 ครั้งในโรงเรียนสำหรับผู้พิการ โดย 30,204 ครั้งจากโรงเรียนทั้งหมด หรือคิดเป็น 83.9 เปอร์เซ็นต์ มีเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น
ในจำนวนเหตุการณ์ร้ายแรงดังกล่าว มี 490 กรณีที่ไม่ได้ถูกระบุว่าเป็นการกลั่นแกล้งจนกระทั่งสถานการณ์บานปลาย โดยกรณีความรุนแรงในโรงเรียนประถม มัธยมต้น และมัธยมปลาย เพิ่มขึ้นเป็นประวัติการณ์ที่ 128,859 กรณี หรือเพิ่มขึ้น 18.2 เปอร์เซ็นต์
จำนวนการฆ่าตัวตายของนักเรียนที่โรงเรียนตรวจพบอยู่ที่ 413 กรณี โดยมี 8 กรณีที่ได้รับการยืนยันว่าเกี่ยวข้องกับการกลั่นแกล้ง
การกลั่นแกล้งยังรวมถึง การเลือกปฏิบัติ/เหยียดเชื้อชาติในโรงเรียน
5 ปี ก่อน ชาวญี่ปุ่นเคยต่อต้านที่ไนกี้เผยแพร่โฆษณาเกี่ยวกับการต่อต้านการเลือกปฏิบัติ/เหยียดเชื้อชาติ/การไม่เข้าพวกฯ ในโรงเรียน
วิดีโอนี้ ซึ่งเน้นย้ำถึงปัญหาการกลั่นแกล้งและการเหยียดเชื้อชาติในญี่ปุ่นโดยเฉพาะ แต่ได้กลายเป็นประเด็นถกเถียงอย่างร้อนแรงบนโซเชียลมีเดียของญี่ปุ่น
หลายคนออกมาสนับสนุนข้อความที่แบรนด์ต้องการสื่ออย่างเต็มที่ ขณะที่ผู้ชมส่วนหนึ่งไม่พอใจ โดยอ้างว่าข้อความดังกล่าวทำให้ภาพลักษณ์ของญี่ปุ่นในเวทีโลกเสื่อมเสีย
ปัจจัยและความท้าทายมีหลายประการ
1. ความตระหนักรู้ของครูและโรงเรียน: โรงเรียนจำนวนมากยอมรับว่าไม่ทราบถึงเหตุการณ์การกลั่นแกล้ง และมีปัญหาเกี่ยวกับวิธีการจัดการรับมือ
2. การตอบสนองเบื้องต้นที่ไม่สอดคล้องกัน: โรงเรียนมักไม่ดำเนินการอย่างเหมาะสม โดยมีวิธีการตั้งแต่การแจ้งผู้ปกครองไปจนถึงการสั่งให้นักเรียนขอโทษ แต่บางครั้งการตอบสนองก็ไม่เพียงพอหรือไม่มีเลย
3. ปัจจัยทางวัฒนธรรม: การเน้นย้ำถึงความสามัคคีและความสอดคล้องในสังคมในญี่ปุ่นอาจทำให้มองข้ามการกลั่นแกล้งว่าเป็นเพียงความขัดแย้งเล็กๆ น้อยๆ และบางครั้งครูอาจตำหนิเหยื่อ
ทั้งนี้ การแก้ไขปัญหาล่าสุด มีอาทิ เพิ่มการมีส่วนร่วมระหว่างตำรวจกับโรงเรียนและผู้ปกครอง
รวมทั้งแก้ไขกฎหมายอาญาเพื่อกำหนดบทลงโทษที่รุนแรงขึ้นสำหรับการกลั่นแกล้ง รวมถึงการจำคุกหรือค่าปรับ และได้ขยายอายุความออกไป
ยังมีโครงการต่อต้านการกลั่นแกล้ง โรงเรียนบางแห่งกำลังนำหรือพัฒนาโครงการต่อต้านการกลั่นแกล้งมาใช้ เช่น โครงการที่พัฒนาจากโครงการ KiVa ซึ่งกำลังได้รับการพัฒนาเพื่อให้ครอบคลุมการเข้าถึงผู้ที่ไม่รู้หรือเห็นเหตุการณ์การกลั่นแกล้งมากขึ้น


