การปะทะกันหลายวันระหว่างกองทัพไทยกับกัมพูชาตามแนวชายแดนเพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติ นอกจากจะเป็นเหตุการณ์ทางทหารแล้วยังเปิดโปงความจริงอีกชั้นหนึ่งที่สังคมไทยและนานาชาติหลีกเลี่ยงการพูดถึงมานาน นั่นคือการที่กองทัพไทยได้ทำลายกาสิโนตามแนวชายแดนไปหลายแห่งซึ่งพื้นที่เหล่านี้เป็นที่รับรู้กันดีว่าไม่ได้เป็นเพียงสถานบันเทิงหากคือศูนย์กลางของอาชญากรรมออนไลน์ระดับโลกทั้งการค้ามนุษย์การบังคับใช้แรงงาน และการหลอกลวงข้ามชาติที่สร้างความเสียหายให้ผู้คนทั่วโลกนับไม่ถ้วน
ผมได้ยินคนกัมพูชาพูดว่า วันนี้ปอยเปตเจริญกว่าสระแก้ว เกาะกงเจริญกว่าตราดด้วยความภาคภูมิใจ แต่เรารู้ว่าความเจริญที่ผุดขึ้นอย่างรวดเร็วในหลายเมืองชายแดนของกัมพูชารวมถึงเมืองใหญ่อื่นๆ ไม่ได้เติบโตจากอุตสาหกรรมปกติหรือการพัฒนาเศรษฐกิจตามแบบแผน หากเติบโตจากเงินสีเทาและเงินผิดกฎหมายจำนวนมหาศาลเงินก้อนเดียวกันนี้เองที่ถูกนำมาใช้จัดหาอาวุธเสริมกำลัง และค้ำจุนอำนาจรัฐเพื่อรับมือกับแรงกดดันจากภายนอกรวมถึงการปะทะกับกองทัพไทยในวันนี้
หากจะอธิบายว่าทำไมชื่อของกัมพูชาจึงถูกผูกเข้ากับอาชญากรรมออนไลน์อย่างแนบแน่น การอธิบายแบบผิวเผินว่าเป็นเพราะ “รัฐอ่อนแอ” หรือ “เจ้าหน้าที่คอร์รัปชัน” ย่อมไม่เพียงพอ ความจริงคือสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความล้มเหลวของรัฐแต่คือการทำงานร่วมกันของรัฐ อำนาจการเมืองและทุนสีเทาภายใต้โครงสร้างที่มีฮุนเซนเป็นศูนย์กลาง
ฮุนเซนไม่ได้ก้าวขึ้นสู่อำนาจจากฉันทานุมัติของประชาชนหากขึ้นมาจากบริบทหลังสงครามการค้ำจุนจากอำนาจภายนอกและการจัดวางเครือข่ายอำนาจภายในประเทศอย่างเป็นระบบอำนาจปืนในวันนั้นถูกแปรสภาพเป็นอำนาจรัฐในวันนี้และอำนาจรัฐก็ถูกใช้เพื่อจัดสรรทรัพยากรและผลประโยชน์ให้กับผู้ภักดีต่อระบอบ จนการเมือง เศรษฐกิจและความมั่นคงหลอมรวมกันเป็นโครงสร้างเดียวแยกไม่ออก
ในระบบเช่นนี้ “นักธุรกิจ” ไม่ได้เป็นเพียงผู้ลงทุนตามกลไกตลาดแต่ทำหน้าที่เป็นเสาหลักของอำนาจทางการเมือง และเมื่อเศรษฐกิจสีเทาให้ผลตอบแทนสูงกว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจปกติการเปิดพื้นที่ให้ทุนสีเทาเติบโตจึงไม่ใช่ความบังเอิญหากเป็นผลจากการเลือกเชิงโครงสร้างอย่างมีเจตนา
ตลอดกว่าสิบปีที่ผ่านมา กัมพูชากลายเป็นหนึ่งในศูนย์กลางของกาสิโนสถานบันเทิงและโครงการอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ โดยเฉพาะในสีหนุวิลล์เมืองท่าชายทะเลที่ถูกแปลงสภาพอย่างรวดเร็วเป็นเขตเศรษฐกิจสีเทาที่เชื่อมโยงกาสิโน การฟอกเงิน การค้ามนุษย์ และคอลเซ็นเตอร์หลอกลวงออนไลน์เข้าด้วยกันอย่างแยกไม่ออกการเปลี่ยนแปลงระดับนี้ไม่อาจเกิดขึ้นได้หากปราศจากการคุ้มครองจากรัฐในระดับสูงสุด
ชื่อของผู้มีอิทธิพลที่ถูกกล่าวหาว่าพัวพันกับอาชญากรรมออนไลน์จำนวนมากล้วนมีจุดร่วมสำคัญคือความใกล้ชิดกับศูนย์กลางอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นก๊กอานเจ้าพ่อกาสิโนในสีหนุวิลล์หรือเฉินจื้อนักลงทุนเชื้อสายจีนที่ถือครองโครงการกาสิโนและอสังหาริมทรัพย์จำนวนมาก บุคคลเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงนักธุรกิจเอกชนแต่เป็นผู้ที่เข้าถึงผู้นำประเทศโดยตรงได้รับสัมปทานพิเศษและได้รับการคุ้มครองจากกลไกรัฐ
ความสัมพันธ์ระหว่างฮุนเซนกับทุนเหล่านี้ไม่ได้อยู่ในรูปของสัญญาที่เป็นลายลักษณ์อักษร หากเป็นความสัมพันธ์แบบอุปถัมภ์ที่ต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์นักธุรกิจให้เงินรายได้ และการสนับสนุนทางการเมือง ขณะที่รัฐให้ความคุ้มครองกฎหมายที่ยืดหยุ่นและการบังคับใช้กฎหมายแบบเลือกปฏิบัติ นี่คือหัวใจของรัฐอุปถัมภ์ที่ทำให้เศรษฐกิจสีเทาเติบโตได้โดยแทบไม่ถูกแตะต้อง
การมอบตำแหน่ง “ออกญา (Oknha)” ให้แก่นักธุรกิจเหล่านี้เป็นเครื่องมือทางอำนาจที่เห็นได้ชัดที่สุด มันไม่ใช่เพียงเกียรติยศทางสังคมแต่คือการมอบสถานะความชอบธรรมและความคุ้มครองโดยพฤตินัยแม้ไม่อาจพิสูจน์เป็นลายลักษณ์อักษรว่าตำแหน่งเหล่านี้ถูกมอบเพื่อแลกกับกิจกรรมผิดกฎหมาย แต่ข้อเท็จจริงคือระบบนี้ถูกใช้เพื่อค้ำจุนชนชั้นทุนใกล้ชิดอำนาจซึ่งรวมถึงบุคคลที่ถูกตั้งข้อกล่าวหาเรื่องอาชญากรรมออนไลน์มาโดยตลอด
ในระดับที่ลึกกว่านั้นเครือข่ายอาชญากรรมออนไลน์ในกัมพูชาไม่ได้ดำรงอยู่เพียงเพราะการละเลยของรัฐ หากเพราะมันมีฟังก์ชันทางการเมืองเงินจำนวนมหาศาลจากการหลอกลวงออนไลน์และการฟอกเงินถูกประเมินโดยนักวิชาการและหน่วยงานความมั่นคงตะวันตกว่ามีสัดส่วนสูงอย่างน่าตกใจต่อเศรษฐกิจจริง เงินเหล่านี้ไม่ไหลเข้าสู่คลังรัฐอย่างโปร่งใสแต่ไหลเวียนอยู่ในเครือข่ายอุปถัมภ์ซื้อความภักดีและประคองเสถียรภาพของระบอบ
เมื่อโลกเริ่มตระหนักว่ากัมพูชาไม่ได้เป็นเพียงประเทศยากจนหากเป็นหนึ่งในศูนย์กลางอาชญากรรมข้ามชาติสายตาของนานาชาติจึงเปลี่ยนไป รายงานขององค์กรสิทธิมนุษยชนไม่เพียงชี้ให้เห็นการละเมิดสิทธิแรงงานและการค้ามนุษย์ แต่ยังสะท้อนว่าการขาดเสรีภาพสื่อและการควบคุมข้อมูลคือเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้อาชญากรรมเหล่านี้ฝังรากลึก
สื่อกัมพูชาส่วนใหญ่ไม่ได้ทำหน้าที่ตรวจสอบอำนาจ หากทำหน้าที่ผลิตความชอบธรรมให้ระบอบข่าวเชิงสืบสวนเกี่ยวกับกาสิโนหรือคอลเซ็นเตอร์แทบไม่ปรากฏ นักข่าวที่พยายามขุดคุ้ยมักถูกคุกคามหรือทำให้เงียบเสรีภาพสื่อที่ถูกทำให้พิการเช่นนี้ไม่ใช่ผลข้างเคียงแต่เป็นกลไกสำคัญในการค้ำจุนโครงสร้างอำนาจ
เราไม่มีวันเห็นสื่อกัมพูชาอย่าง ใบตองแห้ง อธึกกิต แสวงสุข หรือประวิตร โรจนพฤกษ์ หรือเราไม่มีวันเห็นนักวิชาการเขมรอย่างสุภลักษณ์ กาญจนขุนดี ไม่รู้ว่า พวกเรามีความเป็นเอกภาพเพราะกลัวอำนาจรัฐ หรือว่าเพราะพวกเขาสำนึกในความเป็นชาติ แต่พวกเขาเล่นกันเป็นทีมไม่เหมือนเราที่เหมือนมีหนอนอยู่ในบ้านตัวเอง
ถ้าใครติดตามข่าวและเข้าไปดูโซเชียลมีเดียของพวกเขามีความเป็นเอกภาพมาก เสียงไปในทางเดียวกับที่รัฐบาลของเขาเล่นบทผู้ถูกรังแก คนจำนวนมากโพสต์ว่า กัมพูชาต้องการสันติภาพ มีการเคลื่อนไหวของคนกัมพูชาที่อยู่ในต่างประเทศร้องหาสันติภาพ ซึ่งขับให้ดูไทยเป็นประเทศที่รุกราน ทั้งๆ ที่ไทยเพียงแต่ปกป้องอธิปไตยของตัวเอง คนกัมพูชากล้าร้องหาสันติภาพทั้งที่กระสุนปืน BM21 ของพวกเขายิงถล่มไทยอยู่ตลอดเวลาโดยไม่เลือกเป้าหมาย เพราะขาดความแม่นยำ
พวกเขามีกระสุน BM21 ที่ยิงครั้งละเป็นล้านอย่างไม่อั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เงินที่สั่งซื้ออาวุธ และฮุนเซนที่คนกัมพูชามองว่า เขาเป็นพ่อของแผ่นดิน ถ้าไม่มีฮุนเซนกัมพูชาก็ไม่มีวันนี้ ก็เพราะเงินที่มาจากการเป็นศูนย์กลางสแกมเมอร์ของโลกนั่นเอง
สายสัมพันธ์ระหว่างฮุนเซนกับทุนสีเทาจึงไม่ใช่ความผิดปกติแต่คือกลไกการปกครองระบอบนี้ไม่ได้เพียงยอมให้เศรษฐกิจผิดกฎหมายเติบโตหากใช้มันเป็นแหล่งทรัพยากรในการรักษาอำนาจและตราบใดที่เงินสีเทายังไหลระบบอุปถัมภ์ก็ยังคงทำงานต่อไปได้
คำถามสำคัญจึงไม่ใช่ว่าฮุนเซนรู้หรือไม่ว่าใครทำอะไรแต่คือระบอบนี้จะอยู่ได้อย่างไรหากไม่มีเงินประเภทนี้ และเมื่อใดก็ตามที่ต้นทุนของการเป็นศูนย์กลางอาชญากรรมสูงกว่าผลประโยชน์เสถียรภาพที่ดูนิ่งเงียบของกัมพูชาอาจเปราะบางกว่าที่หลายคนคิดไว้มากนัก
แต่วันนี้ฮุนเซนยังคงอยู่ ในขณะที่เชื่อกันว่า GDP ของกัมพูชาถึง 1 ใน 3 มาจากเงินสีเทา มันยังทำให้ฮุนเซนสามารถพอมีทรัพยากรแจกจ่ายไปยังประชาชนของเขาไม่ให้อดจนต้องลุกฮือ ในขณะที่อำนาจทุกอย่างอยู่ในมือของเขาพร้อมกับความมั่งคั่งของตระกูลฮุน
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan


