xs
xsm
sm
md
lg

ตามรอยพ่อ-แม่ของแผ่นดิน "พัฒนาแหล่งน้ำเคียงคู่ฟื้นฟูป่า"

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร "พ่อของแผ่นดิน" เป็นกษัตริย์ที่ให้ความสำคัญของน้ำอย่างยิ่ง จะเห็นได้จากโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริที่มีกว่า 4,000 โครงการ เป็นโครงการที่เกี่ยวข้องกับน้ำกว่า 3,000 โครงการ พระองค์ทรงตระหนักถึงความสำคัญของน้ำต่อความอยู่รอดของชีวิต ทั้งพืช สัตว์ และมนุษย์ ดั่งเคยพระราชดำรัสความตอนหนึ่งว่า "...หลักสำคัญว่าต้องมีน้ำบริโภค น้ำใช้ น้ำเพื่อการเพาะปลูกเพราะว่าชีวิตอยู่ที่นั่น ถ้ามีน้ำคนอยู่ได้ ถ้าไม่มีน้ำคนอยู่ไม่ได้ ไม่มีไฟฟ้าคนอยู่ได้ แต่ถ้ามีไฟฟ้าไม่มีน้ำคนอยู่ไม่ได้ ...."

สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง "แม่ของแผ่นดิน" ทรงให้ความสำคัญในเรื่องน้ำและป่าไม้ ไม่ต่างไปจาก "พ่อของแผ่นดิน" โดยเฉพาะในเรื่องของป่าไม้มีโครงการอนุรักษ์ป่ามากมายที่เกิดผลเป็นรูปธรรม เช่น โครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่ โครงการป่ารักน้ำ เป็นต้น ดั่งเคยมีทรงมีพระราชดำรัสเกี่ยวกับเรื่องป่าความตอนหนึ่งว่า “.....ป่าไม้ช่วยซึมซับน้ำฝนไว้ใต้ดิน เรียกว่า น้ำใต้ดินค่อยๆ ระบายลงมาเป็นธารน้ำ เป็นลำคลอง เป็นแม่น้ำ ให้เราได้ใช้กันตลอดมา เราจึงควรถนอมรักษาป่าไว้ให้คงอยู่เป็นต้นน้ำลำธาร เพื่อว่าลูกหลานเราจะได้ไม่ลำบาก”

แม้"พ่อของแผ่นดิน" และ "แม่ของแผ่นดิน" จะเสด็จสู่สวรรคาลัยแล้วก็ตาม แต่กรมชลประทาน ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่หลักในการบริหารจัดการน้ำและพัฒนาแหล่งน้ำของประเทศ ได้น้อมนำปณิธานในเรื่อง "น้ำและป่า" ของทั้ง2พระองค์มาสืบสาน รักษา ต่อยอด ตามพระปฐมบรมราชโองการของ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน

น้ำและป่าไม้ถือเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มีความสำคัญของประเทศ และมีความสัมพันธ์เกื้อหนุนซึ่งกันและกัน จำเป็นจะต้องมีความสมดุล หากไม่มีน้ำไม่มีป่าพื้นดินก็จะแห้งแล้งกลายเป็นทะเลทราย ขาดความอุดมสมบูรณ์ ดังนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่จะอนุรักษ์น้ำควบคู่กับการอนุรักษ์ป่าอย่างเหมาะสม แม้งานพัฒนาแหล่งน้ำอาจจะต้องทำให้สูญเสียป่าไม้ไปบ้างก็ตาม แต่กรมชลประทานก็ได้ประกาศที่จะปลูกป่าทดแทนในส่วนที่สูญเสียไปในปริมาณที่มากกว่าถึง 2 เท่าตัวจนถึงปัจจุบันกรมชลประทานได้ปลูกป่าไปแล้วกว่า 100,000 ไร่ทั่วประเทศ

ทั้งนี้จากการศึกษาของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธ์พืช พบว่า ในผืนดินที่มีป่าไม้สามารถกักเก็บน้ำได้ในปริมาณที่แตกต่างกันไป โดยในพื้นที่ป่า 1 ตารางกิโลเมตร หรือ 625 ไร่ หากเป็นป่าดิบเขา จะสามารถกักเก็บน้ำไว้ในผืนดินถึง 1.5 ล้านลูกบาศก์เมตร(ลบ.ม.) ป่าเบญจพรรณสามารถกักเก็บน้ำในผืนดินได้ 600,000 ลบ.ม. และป่าเต็งรังสามารถกักเก็บน้ำในผืนดินได้ 300,000 ลบ.ม. ดังนั้นการที่ กรมชลประทานปลูกป่าก็เปรียบเสมือนการสร้างอ่างเก็บน้ำไว้ใต้ดิน

ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของกรมชลประทาน เป็นอีกศูนย์ที่นำพระราชดำรัสในเรื่อง "น้ำและป่า" ของทั้ง 2 พระองค์มาศึกษาต่อยอดสร้างต้นแบบเพื่อขยายผลไปยังพื้นที่อื่นๆ โดยเฉพาะในเรื่องการอนุรักษ์ฟื้นฟูป่าต้นน้ำ

พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร ทรงมีพระราชดำรัสเกี่ยวกับการฟื้นฟูป่าต้นน้ำความตอนหนึ่งว่า 
“....การปลูกป่าทดแทนพื้นที่ป่าไม้ที่ถูกทำลายนั้น จะต้องสร้างฝายเล็กเพื่อหมุนน้ำส่งไปตามเหมืองไปใช้ในพื้นที่เพาะปลูกทั้งสองด้าน ซึ่งจะให้ค่อยๆ แผ่ขยายออกไปทำความชุ่มชื้นในบริเวณนั้นด้วย...

ในขณะที่ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงมีพระราชดำรัสเกี่ยวกับเรื่องป่าและน้ำเช่นกัน ความตอนหนึ่งว่า
“.....ป่าไม้ช่วยซึมซับน้ำฝนไว้ใต้ดิน เรียกว่า น้ำใต้ดินค่อยๆ ระบายลงมาเป็นธารน้ำ เป็นลำคลอง เป็นแม่น้ำ ให้เราได้ใช้กันตลอดมา เราจึงควรถนอมรักษาป่าไว้ให้คงอยู่เป็นต้นน้ำลำธาร เพื่อว่าลูกหลานเราจะได้ไม่ลำบาก”


ก่อนปี 2528 พื้นที่ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ มีสภาพเป็นดินหินกรวด แห้งแล้ง ขาดความชุ่มชื่น ปริมาณน้ำธรรมชาติมีน้อย สภาพป่าเป็นป่าเสื่อมโทรม แต่ในปัจจุบันสภาพพื้นที่ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ มีความชุ่มชื่นในป่าเพิ่มขึ้น มีปริมาณฝนตกเพิ่มขึ้น การระเหยของน้ำลดลง ลำห้วยมีน้ำตลอดทั้งปี ดินมีธาตุอาหารเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ความหนาแน่นของต้นไม้ยังเพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งกรมชลประทานได้นำความสำเร็จดังกล่าวไปต่อยอด ขยายผลดำเนินการในพื้นที่ต่างๆที่กรมชลประเทศได้เข้าไปดำเนินโครงการพัฒนาแหล่งน้ำ

พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร นอกจากจะให้ความสำคัญกับการพื้นฟูป่าต้นน้ำแล้ว บริเวณใกล้ๆกับป่าต้นน้ำ หรือ บริเวณที่ราบเชิงเขาด้วย พระองค์ก็ให้ความสำคัญด้วยเช่นกัน ดั่งพระราชดำรัสในการพัฒนาอ่างเก็บน้ำบริเวณที่ราบเชิงเขาในพื้นที่ภาคตะวันออก ความตอนหนึ่งว่า
“…โครงการพัฒนาพื้นที่ราบเชิงเขา จังหวัดปราจีนบุรีและสระแก้ว ตามพระราชดำริ อาทิ โครงการอ่างเก็บน้ำพระปรง อ่างเก็บน้ำห้วยสะโตน อ่างเก็บน้ำท่ากระบาก และอ่างเก็บน้ำอื่นๆ เป็นโครงการที่ดีมาก ทำให้มีปริมาณน้ำใช้เพิ่มมากขึ้น และผลที่ได้รับเพิ่มเติมก็คือทำให้ดินมีการพัฒนาตามมาด้วย…”

 




















กรมชลประทานได้น้อมนำพระราชดำรัสดังกล่าวมาดำเนินโครงการอ่างเก็บน้ำบริเวณที่ราบเชิงเขาในพื้นที่ภาคตะวันออกสำเร็จแล้วหลายโครงการ เช่น โครงการอ่างเก็บน้ำพระปรงอันเนื่องมาจากพระราชดำริ โครงการอ่างเก็บน้ำท่ากระบากอันเนื่องมาจากพระราชดำ เป็นต้น นอกจากนี้ยังได้ดำเนินโครงการพัฒนาแหล่งน้ำขนาดใหญ่ คือ โครงการอ่างเก็บน้ำนฤบดินทรจินดา (เขื่อนห้วยโสมง) อันเนื่องมาจากพระราชดำริ

โครงการอ่างเก็บน้ำนฤบดินทรจินดา ตั้งอยู่ที่ตำบลแก่งดินสอ อำเภอนาดี จังหวัดปราจีนบุรี นอกจากจะเป็นโครงการการพัฒนาอ่างเก็บน้ำบริเวณที่ราบเชิงเขาในพื้นที่ภาคตะวันออกบริเวณจังหวัดปราจีนบุรี-สระแก้วแล้ว ยังเป็นโครงการชลประทานขนาดใหญ่แห่งสุดท้ายในพระราชดำริพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร ที่พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เพื่อแก้ปัญหาอุทกภัย ภัยแล้ง และปัญหาน้ำเค็มหนุนลุ่มน้ำแม่น้ำปราจีนบุรีในหน้าฤดูแล้งให้กับจังหวัดปราจีนบุรี และจังหวัดใกล้เคียงอีกด้วย พร้อมทั้งได้ พระราชทานชื่ออ่างเก็บน้ำว่า “อ่างเก็บน้ำนฤบดินทรจินดา” อันมีความหมายว่า “อ่างเก็บน้ำที่สร้างขึ้นตามพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว”

อ่างเก็บน้ำนฤบดินทรจินดา ขณะนี้แล้วเสร็จสมบูรณ์กักเก็บน้ำได้ 295 ล้านลูกบาศก์เมตร สามารถส่งน้ำให้พื้นที่เกษตรกรรมในเขตชลประทานได้ถึง 111,300 ไร่ ช่วยบรรเทาอุทกภัยในพื้นที่ลุ่มน้ำปราจีนบุรีและลุ่มน้ำสาขา ในเขตพื้นที่อำเภอนาดี และอำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งยังเป็นแหล่งน้ำสำหรับการอุปโภคบริโภค ช่วยรักษาระบบนิเวศน์ผลักดันน้ำเค็มและน้ำเน่าเสียในแม่น้ำปราจีนบุรี และแม่น้ำบางปะกง
 นอกจากนี้ยังใช้เป็นแนวกันชนหรือแนวป้องกันการบุกรุกทำลายพื้นที่ป่าไม้ในเขตอุทยานแห่งชาติทับลานและอุทยานแห่งชาติปางสีดา รวมทั้งช่วยเพิ่มระดับความชุ่มชื้นในพื้นที่ป่าไม้อีกด้วย

พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราช ดำเนินทรงประกอบพิธีเปิดป้ายอ่างเก็บน้ำนฤบดินทรจินดา อันเนื่องมาจากพระราชดำริ เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2560 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงให้ความสำคัญในการบริหารจัดการน้ำตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่ได้พระราชทานแนวทางในการบรรเทาปัญหาอุทกภัยและการทำการเกษตร ให้แก่ราษฎรที่ได้รับความเดือดร้อนในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ และทรงมีพระราชประสงค์ให้ องคมนตรีทำหน้าที่ในการติดตามเพื่อสืบสาน รักษา ต่อยอดงานพัฒนาในโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริให้สามารถช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่พสกนิกรได้อย่างรวดเร็วและยั่งยืน

ล่าสุดคณะกรรมการติดตามและขับเคลื่อนโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริในพระราชดำริพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร ที่มี นายพลากร สุวรรณรัฐ องคมนตรี เป็นประธาน ได้ให้กรมชลประทานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประสานงานติดตามเร่งรัดโครงการอันเนืื่องมาจากพระราชดำริ 8 โครงการ ได้แก่ โครงการอ่างเก็บน้ำใสน้อย-ใสใหญ่ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จ.ปราจีนบุรี โครงการอ่างเก็บน้ำลำพระยาธารอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดปราจีนบุรี โครงการอ่างเก็บน้ำคลองมะเดื่ออันเนื่องมาจากพระราชดำริ จ.นครนายก โครงการอ่างเก็บน้ำห้วยสะโตนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จ.สระแก้ว โครงการวังหีบอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จ.นครศรีธรรมราช โครงการอ่างเก็บน้ำคลองสีสุกอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จ.พัทลุง และโครงการอ่างเก็บน้ำเขาพลูอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จ.ตรัง

หากทุกคนร่วมใจสืบสาน รักษา ต่อยอด เดินตามรอยพ่อและแม่ของแผ่นดิน “น้ำและป่า" ก็จะอยู่เคียงคู่กันตลอดจนไป ดั่งพระราชดำรัส สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เกี่ยวกับเรื่องน้ำและป่าไม้ ที่ว่า “พระเจ้าอยู่หัวเป็นน้ำ ฉันจะเป็นป่า ป่าที่ถวายความจงรักภัคดีต่อน้ำ ...พระเจ้าอยู่หัวสร้างอ่างเก็บน้ำ ฉันจะสร้างป่า”

วันนี้ "แม่ของแผ่นดิน" เสด็จสู่สวรรคาลัย เคียงคู่องค์ในหลวงรัชกาลที่ 9 ตราบนิรันดร์ ทั้ง 2พระองค์ได้พักผ่อนหลังทรงงานหนักมาตลอดระยะเวลามากกว่า 70 ปี ถึงเวลาแล้วที่พนกนิกรชาวไทยทุกคนจะทำงานสืบสานพระปณิธาน ในเรื่อง "น้ำและป่า" ตามพระราชดำริ ถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร และ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และน้อมระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ อันหาที่สุดมิได้










กำลังโหลดความคิดเห็น