รฟท.ศึกษารูปแบบ PPP ดึงเอกชนร่วมทุนเดินรถ "ไฮสปีดไทย-จีน" กรุงเทพฯ-หนองคาย มูลค่ากว่าแสนล้านบาท สัมปทาน 30 ปี เปิดรับฟังความเห็นนักลงทุน ต.ค.นี้ คาดทบทวนตัวเลขผู้โดยสารและค่าโดยสาร ชง ครม.ต้นปี 69 ประมูลกลางปี เปิดเฟสแรกปี 72 เดินรถตลอดสายปี 74
วันนี้ (15 กรกฎาคม 2568) นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เป็นประธานในเวทีรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เพื่อแนะนำโครงการศึกษา ทบทวน และวิเคราะห์ความเหมาะสมของการจัดทำเอกสารประกวดราคา ตลอดจนแนวทางการดำเนินงานตามพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 สำหรับโครงการรถไฟความเร็วสูง ช่วงกรุงเทพมหานคร-หนองคาย ภายใต้ความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย กับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคประชาชน ได้ร่วมแสดงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ ซึ่งจะช่วยให้โครงการเดินหน้าไปในทิศทางที่ถูกต้อง และบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นายวีริศกล่าวว่า เดิม ครม.ให้จัดตั้งองค์กรพิเศษขึ้นมาบริหารเดินรถโครงการรถไฟความเร็วสูง ต่อมาการศึกษาพบว่า แนวทางการให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในรูปแบบการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (PPP) เหมาะสมกว่า รฟท.จึงจัดจ้างที่ปรึกษา วงเงิน 22 ล้านบาท ระยะเวลาศึกษา วันที่ 9 พ.ค. 2568-วันที่ 8 ม.ค. 2569 การรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน เพื่อพัฒนาโครงการให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนและภาคธุรกิจ ตลอดจนขับเคลื่อนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศให้ทันสมัย มีประสิทธิภาพ และเติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยความโปร่งใส คำนึงถึงประโยชน์ของประชาชน โดยให้เอกชนดำเนินงานในส่วนของการติดตั้งงานระบบการบริหารจัดการเดินรถ และการบำรุงรักษา ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างประสิทธิภาพด้านความปลอดภัย ความตรงต่อเวลา และความพึงพอใจของผู้โดยสาร อีกทั้งยังเป็นการถ่ายทอดเทคโนโลยีและองค์ความรู้จากทั้งภาคเอกชนไทยและต่างประเทศ ลดภาระงบประมาณภาครัฐ สร้างความเชื่อมั่นต่อการให้บริการในระยะยาว
@ชง ครม.ต้นปี 69 เปิดเฟสแรกปี 72
ทั้งนี้ จะมีการสัมมนา 2 ครั้ง ในเดือน ก.ค. และ ก.ย. 2568 และจัดรับฟังความคิดเห็นภาคเอกชน (Market Sounding) และการทดสอบความสนใจนักลงทุนในเดือน ต.ค. 2568 จากนั้นจะสรุปรูปแบบ PPP ในเดือน ธ.ค. เพื่อเสนอกระทรวงวคมนาคมไม่เกินเดือน ม.ค. 2569 จากนั้นเสนอ สคร.และคณะกรรมการ PPP และคาดว่าจะเสนอ ครม.พิจารณาภายในไตรมาส 1 ปี 2569 คัดเลือกเอกชนช่วงปี 2569-2570 ติดตั้งระบบปี 2570 เปิดเดินรถ ระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพฯ-นครราชสีมา ปี 2572 และเปิดตลอดสาย กรุงเทพมหานคร-หนองคาย ปี 2574
ด้านเอกชนจะดำเนินการติดตั้งงานระบบ ระยะที่ 2 ช่วงนครราชสีมา-หนองคาย จัดหาขบวนรถเพิ่ม 14 ขบวน (ระยะที่ 1 มีการจัดหาแล้ว 4 ขบวน) ดำเนินการซ่อมบำรุง (O&M) ระยะเวลา 30 ปี ประมาณการจำนวนผู้โดยสารปีแรกเปิดให้บริการเฟสแรกที่ 7,230 คน/วัน และปีที่ 3 เมื่อเปิดตลอดสายที่ 24,300 คน/วัน และปีที่ 30 จำนวน 58,110 คน/วัน ส่วนอัตราค่าโดยสารจะมีการทบทวนใหม่ โดยมีอัตราค่าโดยสารอ้างอิง ได้แก่ กรอบเดิมที่ รฟท.ศึกษาเมื่อปี 2566 ค่าแรกเข้า 80 บาท คิดตามระยะทาง 1.80 บาทต่อ กม., เกณฑ์ตามขนส่งมวลชนทางราง ปี 2567 ค่าแรกเข้า 95 บาท คิดตามระยะทาง 1-300 กม. ที่ 1.97 บาทต่อ กม. กรณีระยะทาง 300 กม.ขึ้นไป คิดที่ 1.70 บาทต่อ กม.
มีกรอบวงเงินค่างานระบบประมาณ 80,000 ล้านบาท โดยคาดว่าเอกชนจะลงทุนค่าระบบและค่าซ่อมบำรุงตลอดระยะเวลา 30 ปีมากกว่า 1 แสนล้านบาท โดยคาดว่าจะมีเอกชนที่มีความพร้อมด้านเงินลงทุน เช่นผู้ประกอบการเดินรถไฟฟ้าในประเทศ 2-3 ราย ส่วนต่างชาติสามารถเข้ามาร่วมทุนกับเอกชนไทยได้
นายวีริศกล่าวว่า โครงการรถไฟความเร็วสูง ช่วงกรุงเทพมหานคร-หนองคาย แบ่งออกเป็น 2 ระยะ โดยระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพฯ-นครราชสีมา ระยะทาง 250.77 กม. อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ภาพรวม ณ วันที่ 25 มิ.ย. 2568 มีความคืบหน้า 45.65% มีความล่าช้า เนื่องจากปัญหาเวนคืน และการปรับแบบก่อสร้าง แบ่งออกเป็นงานโยธา 14 สัญญา และงานระบบ 1 สัญญา ขณะนี้มี 2 สัญญาที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ ได้แก่ ช่วงกลางดง-ปางอโศก และช่วงสีคิ้ว-กุดจิก อีก 10 สัญญากำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง
ส่วนอีก 2 สัญญาอยู่ในขั้นตอนการเตรียมลงนาม โดยสัญญา 4-1 ช่วงบางซื่อ-ดอนเมือง ระยะทาง 15.21 กม. มีโครงสร้างร่วมกับโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ซึ่งอยู่ระหว่างรอข้อสรุปการแก้ไขสัญญาร่วมลงทุนฯ โดยอัยการสูงสุดอยู่ระหว่างตรวจร่างสัญญาคาดจะแล้วเสร็จในเดือน ก.ค.นี้ และทาง EEC เสนอ ครม.เห็นชอบต่อไป จะเริ่มก่อสร้าง
ส่วนสัญญา 4-5 ช่วงบ้านโพ-พระแก้ว ระยะทาง 13.30 กม. มีประเด็นมรดกโลก ซึ่ง รฟท.ปรับรูปแบบก่อสร้างสถานีให้โปร่งและลดระดับหลังคาไม่ให้บดบังทัศนียภาพอยุธยา ซึ่งมีผลทำให้ค่าก่อสร้างลดลงประมาณ 100 ล้านบาทขณะเดียวกันทางกรมศิลปากรจะเข้ามาร่วมในการประเมินช่วงขุดเจาะที่อาจจะพบโบราณวัตถุเพื่อบริหารจัดการ ซึ่งคาดมีค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ประมาณ 50 ล้านบาท ทั้งนี้ วงเงินรวมยังอยู่ในกรอบสัญญาโครงการนี้ โดยผู้รับเหมากำลังตรวจสอบสัญญา และค่าใช้จ่ายให้ครบถ้วนก่อนลงนามสัญญา คาดใช้เวลาอีกประมาณ 1 เดือน
@ประมูลสร้างงานโยธาเฟส 2 ใน ก.ย.นี้
สำหรับงานระบบ ได้ลงนามสัญญาเรียบร้อยแล้ว และอยู่ระหว่างการจัดทำแบบรายละเอียด (Detailed Design) คาดว่าจะก่อสร้างระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพมหานคร-นครราชสีมาแล้วเสร็จภายในปี 2572
โครงการระยะที่ 2 ช่วงนครราชสีมา-หนองคาย ระยะทาง 357.12 กม. ได้ดำเนินการออกแบบแล้วเสร็จ และผ่านการพิจารณาเห็นชอบรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) จากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติแล้ว และคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติโครงการแล้ว ปัจจุบันอยู่ระหว่างการจัดเตรียมเอกสารประกวดราคา คาดเปิดขายซองเดือน ก.ย.นี้ โดยจะแบ่งออกเป็น 7 สัญญาโยธาทางวิ่ง-สถานี และงานเดปโป้อีก 1 สัญญา
เมื่อโครงการรถไฟความเร็วสูงตลอดเส้นทางจากกรุงเทพมหานครถึงหนองคายก่อสร้างแล้วเสร็จ จะสามารถลดระยะเวลาเดินทางจากสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ถึงสถานีหนองคายเหลือเพียงประมาณ 3 ชั่วโมง 30 นาที ซึ่งเป็นอีกก้าวสำคัญในการยกระดับระบบคมนาคมของประเทศไทยสู่มาตรฐานสากล และเสริมสร้างบทบาทของไทยในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้