ซูซี ไวลส์ หัวหน้าเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาว ให้ภาพคณะบริหารสหรัฐฯ ชัดเจนแจ่มแจ้งผ่านการให้สัมภาษณ์หลายครั้งที่นิตยสารแวนิตี้แฟร์รวบรวมมาเผยแพร่เมื่อวันอังคาร (16 ธ.ค.) ซึ่งมีทั้งการวิจารณ์ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ท่าทางเหมือนคนติดเหล้า รองประธานาธิบดีเจดี แวนซ์ เป็นเจ้าทฤษฎีสมรู้ร่วมคิด ส่วนอีลอน มัสก์ ชอบฉายเดี่ยวและไม่เข้าพวก
ทรัมป์เคยพูดถึงไวลส์ ซึ่งถือเป็นหัวหน้าคณะทำงานทำเนียบขาวคนแรกที่เป็นผู้หญิง ว่า “ดูดีแต่เย็นชา” และยกย่องว่า คอยให้การสนับสนุนตนเองอย่างเงียบๆ อยู่หลังฉาก
แต่ล่าสุด ไวลส์ วัย 68 ปี กลับถูกสปอตไลต์จับจ้อง หลังจากแวนิตี้แฟร์เผยแพร่บทความที่อ้างว่า อิงกับการสัมภาษณ์ไวลส์หลายครั้งในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมาโดย คริส วิปเปิล นักข่าวการเมืองผู้คร่ำหวอด
ทว่า ไวลส์โต้ว่า บทความของแวนิตี้แฟร์บิดเบือนข้อเท็จจริงและพยายามทำลายภาพลักษณ์ของคณะบริหารของทรัมป์ ด้วยการตัดทอนเนื้อหาหลายส่วนที่ตนและเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ พูดถึงทรัมป์และทีมงาน
ทั้งนี้ ตอนหนึ่งในบทความของแวนิตี้แฟร์ ไวลส์บอกว่า ทรัมป์มีบุคลิกเหมือนคนติดเหล้า และมักคิดว่า ไม่มีอะไรที่ตัวเองทำไม่ได้
ทางด้านทรัมป์ให้สัมภาษณ์นิวยอร์กโพสต์ว่า ไวลส์พูดถูก แม้จริงๆ แล้วเขาไม่แตะต้องเหล้าเลยก็ตาม เพราะเขาพูดบ่อยๆ ว่า ถ้าตัวเองเป็นนักดื่มคงมีโอกาสมากที่จะติดเหล้า ทรัมป์ยังชมว่า ไวลส์ทำงานได้อย่างยอดเยี่ยม
นอกจากนั้น ไวลส์ยังบอกว่า ตัวเอง “ไม่ใช่ผู้สนับสนุน” ทรัมป์ที่แสดงอำนาจประธานาธิบดีอย่างไม่เคยมีใครทำมาก่อนนับตั้งแต่กลับเข้าทำเนียบขาวเมื่อต้นปี
นักทฤษฎีสมรู้ร่วมคิด
ไวลส์บอกว่า มัสก์ นายใหญ่เทสลาและสเปซ เอ็กซ์ เป็นคนที่ไม่เข้าพวก ชอบลุยเดี่ยว แถมยอมรับอย่างเปิดเผยว่า ตัวเองใช้ยาเค เธอยังวิจารณ์บทบาทของมัสก์ในฐานะผู้นำการตัดค่าใช้จ่ายของรัฐบาลกลางผ่านกระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาลอย่างตรงไปตรงมาว่า ไม่มีคนสติดีที่ไหนที่คิดว่า การยุบสำนักงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของอเมริกา (ยูเอสเอด) เป็นเรื่องที่ถูกต้อง
ไวลส์ยกย่อง “ทีมหลัก” ซึ่งประกอบด้วยแวนซ์, มาร์โค รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศ และสตีเฟน มิลเลอร์ รองหัวหน้าคณะทำงานทำเนียบขาว แต่ตั้งข้อสังเกตว่า แวนซ์เป็นนักทฤษฎีสมรู้ร่วมคิดมานานหนึ่งทศวรรษ และการกลับลำมาสนับสนุนนโยบายอเมริกาต้องมาก่อน ของทรัมป์ ที่ตัวเขาเคยนำไปเปรียบเทียบกับอะดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ผู้นำเผด็จการนาซีนั้น เป็น “การเมืองล้วนๆ”
หนึ่งในคำวิจารณ์ที่น่าตกใจที่สุดคือเรื่องที่ไวลส์บอกว่า แพม บอนดี รัฐมนตรียุติธรรม “ล้มเหลว” ในการจัดการคดีค้าประเวณีและล่วงละเมิดทางเพศเด็กของเจฟฟรีย์ เอปสตีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพยายามจัดการความคาดหวังของสังคมด้วยการบอกว่า กระทรวงยุติธรรมเตรียมเปิดเผยรายชื่อลูกค้าของเอปสตีน ก่อนที่ในเวลาต่อมาคณะบริหารต้องออกมาแก้ข่าวว่า รายชื่อดังกล่าวไม่มีอยู่จริง
แวนิตี้แฟร์ระบุว่า ไวลส์ยังพูดถึงนโยบายทั้งภายในและต่างประเทศของทรัมป์ เช่น บอกว่า เธอมี “ข้อตกลงหลวมๆ” กับทรัมป์ในการยุติ “การแก้แค้น” ศัตรูทางการเมืองภายใน 90 วัน แม้ทุกวันนี้ ผู้นำสหรัฐฯ ยังคงเดินหน้าทำลายล้างศัตรูด้วยการฟ้องร้องก็ตาม
สำหรับประเด็นยูเครนนั้น ไวลส์บอกว่า ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญคิดว่า แค่ได้ดอนบาส ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน คงพอใจแล้ว แต่ทรัมป์เชื่อว่า ประมุขวังเครมลินต้องการยึดยูเครนทั้งประเทศ แม้วอชิงตันยังคงผลักดันข้อตกลงสันติภาพก็ตาม
ไวลส์สำทับว่า สำหรับทรัมป์ การโจมตีเรือในทะเลแคริบเบียนและมหาสมุทรแปซิฟิกด้านตะวันออกโดยกล่าวหาว่า เรือเหล่านั้นลักลอบขนยาเสพติดนั้น แท้จริงแล้วมีเป้าหมายในการโค่นอำนาจประธานาธิบดีนิโคลัส มาดูโรของเวเนซุเอลา โดยเมื่อเดือนที่แล้วเธอบอกว่า ทรัมป์ต้องการระเบิดเรือต่อไปจนกว่ามาดูโรจะยอมแพ้
บรรดาสมาชิกคณะรัฐมนตรีของทรัมป์ต่างเรียงหน้าออกมาปกป้องไวลส์และโจมตีบทความของแวนิตี้แฟร์ เริ่มด้วยแวนซ์ที่กล่าวระหว่างปราศรัยที่เพนซิลเวเนียว่า เขาและไวลส์คุยกันขำๆ ทั้งโดยส่วนตัวและเปิดเผยเรื่องที่เขาเชื่อในทฤษฎีสมรู้ร่วมคิด
แวนซ์ยังบอกอีกว่า เขาและไวลส์มีเรื่องที่คิดเห็นตรงกันมากกว่าประเด็นที่ขัดแย้ง และเขาไม่เคยคิดว่า ไวลส์ไม่ซื่อสัตย์ต่อทรัมป์
พีท เฮกเซธ รัฐมนตรีกลาโหม โพสต์บนเอ็กซ์ว่า “ไม่มีใครดีกว่าไวลส์อีกแล้ว!”
แคโรไลน์ เลวิตต์ โฆษกทำเนียบขาว กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า ไวลส์เป็นคนที่มหัศจรรย์ และกล่าวหาแวนิตี้แฟร์ “อคติจากการเพิกเฉย”
(ที่มา: เอเอฟพี/เอพี)


