(เก็บความจากเอเชียไทมส์ https://asiatimes.com/2025/12/all-out-support-for-zelenskys-hard-line-means-sinking-nato/)
All out support for Zelensky’s hard line means sinking NATO
by Stephen Bryen
10/12/2025
ต้องขอบคุณนายกรัฐมนตรีเคียร์ สตาร์เมอร์ ของสหราชอาณาจักร, ประธานาธิบดีเอมมานูเอง มาครง ของฝรั่งเศส, และนายกรัฐมนตรีฟริดริช เมร์ซ ของเยอรมนี ที่หนุนหลังโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครนอย่างแข็งขัน ในการไม่ยอมสละดินแดนให้แก่รัสเซีย และบ่อนทำลายความพยายามของสหรัฐฯในการยุติสงคราม เพราะในความเป็นจริงแล้วพวกเขากำลังปลดปล่อยคณะบริหารทรัมป์ให้เป็นเสรี ไม่มีความจำเป็นต้องขบคิดหาช่องทางประนีประนอมใดๆ ในเรื่องยูเครนอีก และสามารถหันมาโฟกัสอยู่ที่ลำดับความสำคัญทางภูมิรัฐศาสตร์ของสหรัฐฯเอง
มี 2 สิ่งเกิดขึ้นในวันจันทร์ที่ 8 ธันวาคมที่ผ่านมา เมื่อประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ของยูเครน พบหารือกับ เคียร์ สตาร์เมอร์ นายกรัฐมนตรีแห่งสหราชอาณาจักร, เอมมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีของฝรั่งเศส, และ ฟรีดริช เมร์ซ นายกรัฐมนตรีของเยอรมนี ที่กรุงลอนดอน
เซเลนสกี ได้พูดออกมาอย่างกระจ่างชัดเจน (รวมทั้งขยายความหัวข้อนี้ด้วยระหว่างที่เขาเดินทางต่อไปกรุงบรัสเซลส์เพื่อพบกับพวกผู้นำของสหภาพยุโรป ภายหลังการเจรจาที่ลอนดอนนี้แล้ว) นั่นคือ ยูเครนจะไม่ยินยอมสละดินแดนใดๆ ให้แก่รัสเซีย
ในเวลาเดียวกัน ผู้นำทั้ง 3 ของยุโรปตะวันตกก็ได้แสดงความสนับสนุนอย่างแข็งขัน ในการนำเอาทรัพย์สินรัสเซียที่ถูกอายัดเอาไว้ในยุโรป (มูลค่า 245,000 ล้านดอลลาร์) มาเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อการทำสงครามของยูเครน เคียร์ สตาร์เมอร์ อ้างว่า ในการประชุมกับ เซเลนสกี นั้น พวกเขาได้ “หารือกันอย่างมีความคืบหน้าในทางบวก เกี่ยวกับการใช้ทรัพย์สินภาครัฐของรัสเซียที่ได้ถูกอายัดไว้ไม่ให้มีความเคลื่อนไหว มาสนับสนุนงานฟื้นฟูบูรณะของยูเครน”
เกี่ยวกับเรื่องการนำเอาทรัพย์สินของรัสเซียมาใช้นี้ อันที่จริงมีแรงคัดค้านอย่างแรงทีเดียวนำโดย เบลเยียม, อิตาลี, ฮังการี, และสโลวาเกีย แล้วก็มีความสงสัยข้องใจอย่างจริงจังแสดงกันออกมาทั้งในฝรั่งเศสและในเยอรมนี ถึงแม้เหล่าผู้นำของพวกเขาทำท่าดูเหมือนยอมคล้อยตามสตาร์เมอร์ สำหรับรัฐบาลสหรัฐฯนั้นก็มีท่าทีคัดค้านอย่างแข็งขัน
ผู้นำยุโรป 3 รายนี้ ซึ่งทั้งหมดต่างอยู่ในภาวะไม่เป็นที่นิยมชมชื่นของประชาชนภายในประเทศอย่างล้ำลึก รวมทั้งเผชิญกับพวกผู้มีสิทธิออกเสียงซึ่งแสดงท่าทีเป็นปรปักษ์ด้วยซ้ำไป อาจจะคิดว่าพวกเขากำลังช่วยเซเลนสกีให้รอดชีวิตจากปูตินที่เป็นนักล่าเหยื่อ และจาก โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีอเมริกันผู้เป็นที่รังเกียจชิงชัง ทว่าในความเป็นจริงแล้วพวกเขากำลังปลดปล่อยคณะบริหารทรัมป์ให้เป็นเสรี ไม่มีความจำเป็นต้องขบคิดหาช่องทางประนีประนอมใดๆ ในเรื่องยูเครนต่างหาก
จากการที่พวกเขาหนุนหลังเซเลนสกี และบ่อนทำลายความพยายามของทรัมป์ที่จะทำให้เกิดความตกลงกันในยูเครนขึ้นมาเช่นนี้ เวลานี้ทรัมป์จึงย่อมสามารถที่จะมุ่งโฟกัสไปที่ลำดับความสำคัญทางภูมิรัฐศาสตร์ของสหรัฐฯเอง ทั้งนี้นอกเหนือจากจีนแล้ว รัสเซียนี่แหละคือจุดที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อนโยบายของอเมริกัน เอกสาร “ยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติปี 2025” (The 2025 National Security Strategy) ซึ่งทำเนียบขาวนำออกมาเผยแพร่เมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว ระบุเอาไว้อย่าชัดแจ้งว่า สหรัฐฯต้องการที่จะ “สถาปนาเสถียรภาพทางยุทธศาสตร์กับรัสเซียขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง”
คำว่า “เสถียรภาพทางยุทธศาสตร์กับรัสเซีย” นี้หมายความว่าอย่างไร? มันหมายถึงการหวนกลับไปสู่ความสัมพันธ์ระหว่างอภิมหาอำนาจ 2 รายนี้ซึ่งอยู่ในลักษณะมีความสมดุลกันมากยิ่งขึ้น
เห็นได้ชัดว่า ส่วนหนึ่งของการฟื้นฟูดังกล่าวนี้ ต้องหมายถึงการยุติไม่ให้องค์การนาโต้ขยายตัวต่อไปอีก และการสกัดกั้นให้ยูเครนอยู่นอกนาโต้ เอกสารยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติฉบับใหม่ก็เดินตามแนวทางที่ว่านี้ มันหมายถึงการขบคิดไตร่ตรองกันใหม่เกี่ยวกับพันธมิตรนาโต้ ถ้าหากกลุ่มพันธมิตรนี้จะดำเนินต่อไปแล้ว นาโต้จะต้องไม่กลายเป็นตัวคัดค้านทัดทานความเป็นผู้นำทางภูมิรัฐศาสตร์ของสหรัฐฯ ต้องขอบคุณสตาร์เมอร์, มาครง, และเมร์ซ นาโต้กำลังอยู่ในภาวะใกล้ล่มสลายแล้ว
ยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติปี 2025 แสดงความกังวลอย่างเปิดเผยเกี่ยวกับความเสื่อมถอยทั้งทางอุตสาหกรรม, สังคม, และการเมืองของยุโรป อีกทั้งแสดงความวิตกเกี่ยวกับการสูญหายของเสรีภาพในทวีปแห่งนั้น ไม่เพียงแค่เฉพาะบริเวณพื้นที่ชายขอบ (ตัวอย่างเช่น โรมาเนีย) แต่ยังรวมไปถึงบริเวณแกนกลางในฝรั่งเศส, เยอรมนี, และสหราชอาณาจักรอีกด้วย (ที่สหราชอาณาจักรนั้น แม้กระทั่งการเลือกตั้งระดับท้องถิ่นในบางแห่งยังถูกเลื่อนล่าช้าออกไปอีกอย่างน้อย 2 ปี โดยที่รัฐบาลสหราชอาณาจักรได้พยายามที่จะข่มขู่คุกคามและกำจัดปราบปรามฝ่ายค้าน)
ในย่อหน้าหนึ่งที่พูดถึงยุโรปเอาด้วยด้วยภาษาถ้อยคำที่ชวนตื่นตะลึง ยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติถึงขนาดระบุว่า “ถ้าหากแนวโน้มปัจจุบันยังคงดำเนินต่อไปแล้ว ทวีปนี้ก็จะกลายสภาพไปจนกระทั่งจำกันไม่ได้ภายในระยะเวลา 20 ปีหรือน้อยกว่านั้นอีก เมื่อเป็นเช่นนั้น มันจึงยังไม่เป็นที่ความชัดเจนเลยว่า ประเทศยุโรปบางประเทศจะยังคงมีเศรษฐกิจและการทหารที่เข็มแข็งเพียงพอสำหรับการรักษาฐานะความเป็นพันธมิตรที่น่าเชื่อถือได้ต่อไปหรือไม่”
สหรัฐฯไม่ได้กำลังจะแยกตัวออกมาจากนาโต้อย่างเปิดเผย ทว่าสหรัฐฯกำลังโยกย้ายภาระความรับผิดชอบไปให้แก่ยุโรป ด้วยการประกาศว่าสหรัฐฯจะไม่เป็นผู้จ่ายเงิน “อย่างไม่เป็นธรรม” ให้แก่ความมั่นคงของยุโรปอีกต่อไปแล้ว ถึงแม้ขณะนี้ทางยุโรปกำลังพยายามเพิ่มการลงทุนของพวกตนในด้านกลาโหม (จะเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 5%ของยอดจีดีพี) มันก็จะยังต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่าที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริงใดๆ ขึ้นมาในบรรดากองทัพของยุโรป
คนหนุ่มสาวในยุโรปโดยรวมแล้วไม่ต้องการที่จะเข้าเป็นทหารในกองทัพ สัญญาณเตือนภัยของปรากฏการณ์นี้ดังก้องเพียงพอที่จะทำให้ฝรั่งเศสต้องประกาศริเริ่มรูปแบบการรับอาสาสมัครเข้าราชการทหารอย่างจำกัดขึ้นมา ส่วนเยอรมนีก็กำลังจัดทำรูปแบบของระบบการอาสาสมัครเข้าเป็นทหารที่มีเงื่อนไขด้วยว่าหากจำนวนผู้อาสาสมัครไม่เพียงพอก็จะใช้วิธีจับสลากหาผู้เข้าเป็นทหารเพิ่มเติม (voluntary lottery system) ซึ่งถูกมองว่ามันคือก้าวแรกของการใช้ระบบเกณฑ์ทหาร
สำหรับกองทัพของสหราชอาณาจักรนั้น กำลังแตกออกเป็นเสี่ยงๆ และการหาคนเข้าราชการทหารก็เป็นไปด้วยความยากลำบาก ขณะที่กองทัพอยู่ในสภาพหดตัวลงเรื่อยๆ การขาดแคลนงบประมาณในสหราชอาณาจักรทำให้การฟื้นฟูกองทัพขึ้นมาใหม่เป็นเรื่องที่แทบเป็นไปไม่ได้ ในส่วนที่อื่นๆ ของยุโรปนั้น ในโปแลนด์ นายกรัฐมนตรีโดนัลด์ ทุสก์ ได้ประกาศแผนการที่กำหนดให้ชายชาวโปแลนด์ทุกคนจะต้องถูกบังคับให้เข้ารับการฝึกทหาร
เมื่อเป็นเช่นนี้ มันจึงมีช่องว่างที่ใหญ่โตมโหฬารระหว่างความตั้งอกตั้งใจกับความเป็นจริง หากพูดถึงเรื่องการสร้างสมกำลังทหารขึ้นมาใหม่อีกครั้งของยุโรป หรือเรื่องความสามารถใดๆ ที่จะเข้าแทนที่สหรัฐฯเพื่อรับประกันเสถียรภาพในยุโรป พิจารณาจากสถานการณ์เหล่านี้แล้ว การตัดสินใจของ “เดอะบิ๊กทรี” บวกกับเซเลนสกี ที่จะบ่อนทำลายแผนการริเริ่มของสหรัฐฯในเรื่องยูเครนกับรัสเซีย จึงดูเหมือนกับการตัดสินใจที่จะฆ่าตัวตาย แล้วมันก็เป็นเช่นนั้นแหละ
อาจจะยังมีความเป็นไปได้ว่า การเจรจาเกี่ยวกับยูเครนในบางรูปแบบสามารถที่จะคืบหน้าต่อไปได้บ้างอย่างช้าๆ ทว่ายกเว้นแต่เมื่อมีการเปลี่ยนคณะรัฐบาลในกรุงเคียฟ (เวลานี้ทรัมป์ก็กำลังเรียกร้องให้ยูเครนจัดการเลือกตั้ง) และเปลี่ยนแปลงนโยบายของพวกเขาเท่านั้น ไม่เช่นนั้นแล้วโอกาสสำหรับการเจรจาใดๆ ก็จะมีอยู่น้อยเต็มทีหรือกระทั่งไม่มีเอาเลย
คณะบริหารทรัมป์จะพยายามและเดินหน้าปรับปรุงสายสัมพันธ์ที่มีอยู่กับรัสเซีย โดยที่ไม่คำนึงถึงฝ่ายยุโรป รวมทั้งมองหาทางทำข้อตกลงด้านอาวุธที่จะมีการลดเกณฑ์การใช้อาวุธนิวเคลียร์เพื่อให้สามารถนำมาใช้กันได้ง่ายขึ้น ทั้งนี้ถ้าหากสหรัฐฯสามารถผลักดันเรื่องนี้ได้ และถ้าหากฝ่ายรัสเซียก็ยินดีตอบสนอง
เรื่องที่อาจเกิดขึ้นคู่ขนานกันไป ก็คือ วอชิงตันสามารถเริ่มต้นยกเลิกมาตรการแซงก์ชั่นคว่ำบาตรรัสเซีย หรือตกลงที่จะยุติการใช้มาตรการแซงก์ชบั่นบางอย่างบางประการ, เปิดทางให้สหรัฐฯทำดีลและการลงทุนทางธุรกิจในรัสเซีย ความเคลื่อนไหวไปในทิศทางเช่นนี้สามารถก่อให้เกิดแรงโมเมนตัมในตัวมันเองขึ้นมา และนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ในภูมิทัศน์ทางภูมิรัฐศาสตร์ ขณะที่วอชิงตันปรับโฟกัสใหม่เพื่อมาเพ่งเล็งสนใจอยู่กับพวกสิ่งซึ่งเป็นผลประโยชน์แกนกลางของตนเอง
สตีเฟน ไบรเอน เป็นอดีตรองปลัดกระทรวงกลาโหมฝ่ายนโยบายของสหรัฐฯ ข้อเขียนชิ้นนี้ทีแรกสุดปรากฏอยู่บนจดหมายข่าว Weapons and Strategy ในแพลตฟอร์ม Substack ของเขา


