xs
xsm
sm
md
lg

เวลาของ‘เซเลนสกี’ใกล้หมดเต็มที เมื่อ‘แผนการสันติภาพยูเครน’ของทรัมป์ถูกวางแบอยู่บนโต๊ะ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: สตีเฟน ไบรเอน


(ภาพจากแฟ้ม) โดนัลด์ ทรัมป์ และ โวโลดิมีร์ เซเลนสกี  (ภาพเผยแพร่โดยสำนักงานประธานาธิบดียูเครน)
(เก็บความจากเอเชียไทมส์ https://asiatimes.com/2025/11/zelensky-running-out-of-time-with-trump-peace-plan-on-the-table/)

Zelensky running out of time with Trump peace plan on the table
by Stephen Bryen
23/11/2025

ข้อเสนอกรอบโครงสันติภาพยูเครนของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ปรากฏออกมาท่ามกลางความวิตกกังวลที่มีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ วา ทั้งรัฐบาลของประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกี และกองทัพยูเครน กำลังใกล้จะพังครืนเต็มทีแล้ว

สหรัฐฯกำลังเสนอแผนสันติภาพ 28 ข้อสำหรับยุเครน คณะบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้แจ้งให้ฝ่ายยูเครนทราบว่า พวกเขามีเวลาไปจนกระทั่งถึงวันขอบคุณพระเจ้า (ของสหรัฐฯ ซึ่งปีนี้ตรงกับวันที่ 27 พฤศจิกายน) เท่านั้น ที่จะยอมรับแผนการนี้

แทบไม่มีความเป็นไปได้เอาเลยที่ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ของยูเครนจะยอมรับแผนการนี้ในสภาพอย่างที่มันเป็นอยู่ขณะนี้ แต่เขาอาจจะเสนอข้อแก้ไขต่างๆ นานาเพื่อหว่านเพาะความสับสนยุ่งเหยิง และบีบบังคับให้ต้องมีการเลื่อนเวลาออกไป สหรัฐฯนั้นตั้งท่าคุกคามด้วยการประกาศโยกย้ายความสนับสนุนทั้งหลายทั้งปวงของตนออกจากยูเครน ถ้าหากเคียฟไม่ยอมตกลงปลงใจด้วย ถึงแม้ตัวทรัมป์เองได้ออกมาแถลงในวันเสาร์ (22 พ.ย.) ว่า กรอบโครง 28 ข้อดังกล่าวนี้ยังไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นข้อเสนอสุดท้ายของเขาต่อยูเครนก็ตามที

สำหรับฝ่ายรัสเซีย ในตอนต้นทีเดียวพวกเขาบอกว่ายังไม่เคยเห็นแผนการ 21 ข้อนี้เลย แต่มาถึงเวลานี้มอสโกกำลังพูดว่าพวกเขามีเอกสารเนื้อหาของแผนการนี้อยู่ในมือแล้ว และพบว่ามันจะเป็นพื้นฐานที่ดีสำหรับการบรรลุถึงสิ่งที่รัสเซียเรียกขานว่า “การปฏิบัติการพิเศษทางทหาร” (Special Military Operation หรือ SMO) ของฝ่ายตนในยูเครน

ขณะนี้ ยังเป็นไปไม่ได้ที่จะพูดว่าแผนการของทรัมป์นี้จะก่อให้เกิดผลลัพธ์อันแท้จริงอะไรออกมาบ้างหรือไม่

แต่คำถามสำคัญข้อหนึ่งที่สามารถหยิบยกขึ้นมาตั้งปุจฉากันก็คือว่า ทำไมคณะบริหารทรัมป์จึงตัดสินใจที่จะผลักดันแผนการนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เวอร์ชั่นก่อนหน้านี้ ซึ่งปรากฏออกมาจากการประชุมซัมมิตระหว่างทรัมป์-ปูติน เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2025 ที่อะแลสกา มีอายุยืนยาวอยู่ได้เพียงวันเดียวหลังจากทรัมป์เดินทางกลับมาถึงวอชิงตัน และได้พบปะหารือกับเซเลนสกี ทำไมจึงจะต้องลองพยายามกันดูอีกครั้งหนึ่ง?

ไม่ใช่เรื่องยากลำบากอะไรเลยที่จะมองเห็นแรงจูงใจซึ่งน่าจะเป็นไปได้ประการหนึ่งสำหรับการที่คณะบริหารทรัมป์ตัดสินใจลงมือดำเนินการอย่างเร่งด่วนในตอนนี้ สถานการณ์ทางทหารในยูเครนกำลังเลวร้ายลงอย่างรวดเร็ว และประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย ซึ่งแต่งกายสวมเครื่องแบบทหาร ได้ไปจัดการประชุมหารือในภูมิภาคดอนบาส (Donbas ดินแดนที่ประกอบด้วยแคว้นลูฮันสก์กับแคว้นโดเนตสก์ในภาคตะวันออกของยูเครน -ผู้แปล) กับพวกคณะผู้นำทางทหารของเขา โดยในที่นั้นเขาเน้นย้ำอย่างมองการณ์แง่ดีมากๆ ว่า รัสเซียกำลังจะสามารถเติมเต็มวัตถุประสงค์ทั้งหมดของการปฏิบัติการพิเศษทางทหารได้สำเร็จแล้ว

“เรามีภารกิจของเราเอง เป้าหมายของเราเอง อันที่เป็นหลักสำคัญประการหนึ่งก็คือ การบรรลุถึงเป้าหมายต่างๆ ของการปฏิบัติการพิเศษทางทหารครั้งนี้ให้สำเร็จเสร็จสรรพลงอย่างไม่มีเงื่อนไข” ปูติน กล่าว ขณะเดียวกับที่เขาเรียกพวกผู้กุมอำนาจของยูเครนว่าเป็น พวกแก๊งอาชญากร

ในยูเครนเวลานี้กำลังปรากฏปัญหาสาหัสร้ายแรงบางประการขึ้นมา ซึ่งก็รวมไปถึงกรณีการทุจริตคอร์รัปชั่นอื้อฉาวที่ถูกแฉว่าเกี่ยวข้องกับกลุ่มผู้คนรายเรียงลดหลั่นเป็นชั้นๆ อย่างมีอันตรายยิ่ง โดยกำลังคุกคามเครดิตความน่าเชื่อถือของ เซเลนสกี ในการเป็นผู้นำของยูเครน, นอกจากนั้นยังมีเรื่องที่ยุโรปกำลังเกิดความตระหนักรับรู้ถึงความเป็นจริงยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ว่า แทบไม่มีเงินทองใดๆ เหลืออีกแล้วที่จะใช้จ่ายสำหรับการค้ำประกันยูเครนต่อไป , ตลอดจนการเปิดโปงให้เห็นถึงแผนอุบายปฏิบัติการจัดฉากป้ายสีรัสเซียของยูเครนในโปแลนด์ ซึ่งกลายเป็นเรื่องที่สร้างความอับอายขายหน้าอย่างบาดลึกให้แก่นายกรัฐมนตรีโดนัลด์ ทุสก์ ของโปแลนด์

ในเคียฟเวลานี้กำลังเกิดกระแสต่อต้านไม่พอใจรัฐบาลในทางการเมืองขึ้นมาแล้ว ซึ่งเป็นสิ่งที่ก่อนหน้านี้ยากที่จะเงยหัวโผล่หน้าให้เห็นกัน เพราะแทบทั้งหมดจะต้องถูกปราบปรามกวาดล้างภายใต้อำนาจตามการประกาศใช้กฎอัยการศึกของเซเลนสกี ทว่าเรื่องซึ่งสาหัสยิ่งกว่าสิ่งที่กล่าวมาแล้วเหล่านี้เสียอีก ก็คือ เรื่องการปฏิบัติการของยูเครนในยุโรป โดยเริ่มต้นจากความตระหนักรับรู้ความจริงที่ว่า สายท่อส่งก๊าซ “นอร์ดสตรีม” (Nordstream) ที่ลำเลียงก๊าซรัสเซียไปยังเยอรมนี ซึ่งถูกก่อวินาศกรรมสร้างความเสียหายเมื่อเดือนกันยายน 2022 นั้น ที่แท้เป็นฝีมือ (อย่างน้อยที่สุดก็บางส่วน) ของพวกมือปฏิบัติการพิเศษชาวยูเครน

โปแลนด์นั้นปฏิเสธไม่ยอมทำตามคำร้องของศาลแห่งหนึ่งในเยอรมนีที่ขอให้ส่งตัวผู้ถูกกล่าวหาเป็นมือก่อวินาศกรรมชาวยูเครนผู้หนึ่งไปดำเนินคดี ทว่าเวลานี้ศาลสูงสุด (Court of Cassation) ของอิตาลี ได้พิพากษาอนุญาตให้ส่งตัวชาวยูเครนอีกคนหนึ่งที่ถูกตั้งข้อหาในคดีเดียวกันไปยังเยอรมนีแล้ว เรื่องนี้หมายความว่ากำลังจะเกิดการพิจารณาคดีในบางรูปลักษณ์ขึ้นมาในเยอรมนี ส่วนการที่โปแลนด์ปฏิเสธไม่ยอมทำตามคำขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนคราวนี้ด้วยเหตุผลอันชวนให้สงสัยข้องใจ (นายกฯทุสก์ อ้างว่า “เขาเป็นฮีโร่” ผู้กล้าหาญ) จึงยิ่งดูเหมือนกับเป็นควาพยายาม –อย่างที่พูดกันว่า—เพื่อปกปิดซ่อนเร้นความจริง

สำหรับความน่าอับอายขายหน้าล่าสุดของ ทุสก์ ตามที่กล่าวอ้างพาดพิงเอาไว้ข้างต้น เป็นเรื่องเกี่ยวกับการก่อวินาศกรรมทางรถไฟสายหนึ่งในโปแลนด์ ซึ่งคนร้ายกระทำสำเร็จไปเป็นบางส่วน จุดที่เกิดการระเบิดคือทางรถไฟสายเชื่อมต่อระหว่างกรุงวอร์วอ กับ เมืองลูบลิน ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองหลวงโปแลนด์ ทุสก์บอกว่า เส้นทางนี้ “มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดสำหรับการจัดส่งความช่วยเหลือไปยังยูเครน”

จาเซค โดบรซินสกี (Jacek Dobrzynski) โฆษกของผู้ประสานงานหน่วยงานปฏิบัติการพิเศษต่างๆ ของโปแลนด์ (spokesman for the Polish Coordinator of Special Services) แถลงว่า “ทุกสิ่งทุกอย่างบ่งชี้” ว่าพวกหน่วยงานข่าวกรองรัสเซียคือผู้ดำเนินการหรือผู้สั่งการโจมตีทางรถไฟสายนี้ เช่นเดียวกับ ทุสก์ ซึ่งก็ชี้นิ้วไปที่รัสเซีย และเรียกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า เป็น “พฤติการณ์ก่อวินาศกรรมชนิดที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน”

ควรต้องตั้งข้อสังเกตเอาไว้ด้วยว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับทางรถไฟสายนี้จริงๆ แล้วเป็นความเสียหายเพียงเล็กน้อยเท่านั้นและมีลักษณะเชิงสัญลักษณ์เสียมากกว่า กระนั้นฝ่ายโปแลนด์ดูจะต้องการทำให้มันดูเหมือนกับเป็นส่วนหนึ่งของการก่อเหตุซึ่งเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยที่รัสเซียคือผู้กระทำ

ทว่าปัญหายุ่งยากเดือดร้อนสำหรับ ทุสก์ ตลอดจนคนอื่นๆ ในหน่วยงานปฏิบัติการพิเศษทั้งหลายของโปแลนด์ อยู่ตรงที่ว่าบุคคลที่พวกเขาระบุ และจับกุมมากักขังนั้น ปรากฏว่าเป็นชาวยูเครน ไม่ใช่ชาวรัสเซีย เพื่อปกปิดความผิดพลาดของเขา ทุสก์ได้พยายามโต้แย้ง โยปราศจากการแสดงหลักฐานยืนยันแม้แต่น้อยนิด ว่าชาวยูเครนเหล่านั้นเป็นพวกที่กำลังทำงานให้รัสเซีย

สิ่งที่กำลังปรากฏออกมาให้เห็นจึงดูเหมือนกับว่า เคียฟต่างหากคือผู้ที่กำลังพยายามยั่วยุปลุกปั่นยุโรปให้ทนไม่ไหวและจัดส่งกองทหารเข้าไปช่วยยูเครน ขณะเดียวกัน กรณีจำนวนมากที่กล่าวหากันว่าเป็นเหตุโจมตีก่อกวนโดยใช้โดรนในยุโรปตะวันตกและยุโรปตะวันออก ซึ่งจนถึงเวลานี้ก็ยังคงอธิบายให้กระจ่างชัดเจนกันไม่ได้นั้น บางทีอาจจะมีต้นกำเนิดจากยูเครน ไม่ใช่รัสเซีย (เนื่องจากที่หมายต่างๆ ซึ่งเกิดเหตุถูกโดรนเหล่านี้ก่อกวนโจมตีนั้น อยู่ในระยะที่ไกลเกินไปสำหรับพวกโดรนของรัสเซีย)

มีความพยายามที่จะอ้างว่าโดรนเหล่านี้ถูกจัดส่งมาโดยพวกเรือต่างๆ ของรัสเซีย ทว่าแม้กระทั่งเมื่อมีการสั่งหยุดและตรวจค้นเรือที่ต้องสงสัยลำหนึ่ง ก็กลับยังคงไม่พบอะไร กระนั้น มันก็ยังไม่สามารถหยุดยั้งกระแสของการโฆษณาชวนเชื่อที่ไหลบ่าท่วมท้นสื่อมวลชนทั่วทุกแขนง

คณะบริหารทรัมป์ก็มีการจัดเก็บรวบรวมข่าวกรองของตนเองอย่างขะมักเขม้น บางส่วนของความพยายามเช่นนี้พุ่งเป้าหมายไปที่พวกทรัพย์สินต่างๆ ของรัสเซีย (รวมไปถึงดินแดนของรัสเซียด้วย) แต่บางส่วนก็เป็นความพยายามในการประเมินทบทวนตัวสงครามคราวนี้ จนถึงตอนนี้พวกเขามีข้อสรุปอย่างไรบ้างแล้วหรือไม่นั้น ยังมิได้มีการนำออกเผยแพร่ต่อสาธารณชน

สิ่งที่เรามีอยู่จริงๆ ก็คือพวกรายงานจากนักสังเกตการณ์ทั้งหลาย รวมทั้งพวกบุคลากรฝ่ายทหารทั้งในรัสเซียและในยูเครน ซึ่งปรากฏว่าพวกเขาทั้งหมด จะมากหรือจะน้อย ก็กำลังพูดในสิ่งเดียวกัน กล่าวคือ ยุเครนกำลังอยู่ในสภาพร่อยหรอเต็มที ทั้งในเรื่องกำลังพล, วัสดุต่างๆ, และเวลา รวมทั้งยังกำลังสูญเสียดินแดนอย่างต่อเนื่อง โดยที่พวกฐานที่ตั้งหลักๆ ซึ่งมีการป้องกันอย่างแข็งแรง อย่างเช่นเมืองโปครอฟสก์ (Pokrovsk) ในแคว้นโดเนตสก์ อีกไม่ช้าไม่นานก็จะตกเป็นของฝ่ายรัสเซียอย่างสมบูรณ์

ในทำนองเดียวกัน รัสเซียยังสามารถบุกคืบหน้าไปอย่างน่าตื่นตาตื่นใจในแคว้นซาโปริซเซีย (Zaporizhzhia) ที่อยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ของยูเครน รวมทั้งสามารถยึดเมืองคูเปียนสก์ (Kupyansk) ไปได้แล้ว ถึงแม้ยูเครนยังคงปฏิเสธการกล่าวอ้างนี้ของฝ่ายรัสเซียอยู่ก็ตาม คูเปียนสก์อยู่ทางตอนเหนือของแคว้นคาร์คิฟ (Kharkiv) ซึ่งตั้งอยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของยูเครน แคว้นนี้มีเมืองเอกชื่อคาร์คิฟเช่นเดียวกับชื่อแคว้น โดยที่เมืองนี้เป็นเมืองใหญ่ที่สุดอันดับสองของยูเครน

คณะบริหารทรัมป์คงต้องมีความกังวลใจด้วยว่า หากยูเครนพังครืนลง จะกลายเป็นการหล่อเลี้ยงให้เกิดการลุกฮือขึ้นมาในยุโรป และคุกคามบั่นทอนเครดิตความน่าเชื่อถือขององค์การนาโต้ ในฐานะที่เป็นกลุ่มพันธมิตรเพื่อการป้องกันร่วมกัน ทั้งนี้ตลอดช่วงปีที่ผ่านมา ได้เกิดการท้าทายชนชั้นผู้นำของยุโรปเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ โดยแผ่ลามไปไกลตั้งแต่ใต้สุดจรดโรมาเนีย ไปจนถึงเหนือสุดจรดสหราชอาณาจักร

ถ้ายูเครนล่มสลายลง มีความเป็นไปได้อย่างมากที่พวกรัฐบาลซึ่งเป็นผู้คอยให้ความสนับสนุนอย่างสำคัญยิ่งยวดแก่นาโต้ ทั้งในฝรั่งเศส, เยอรมนี, สหราชอาณาจักร, และโรมาเนีย จะต้องเกิดการตกลงจากอำนาจและเปลี่ยนมือไปสู่คณะรัฐบาลใหม่ๆ ซึ่งจะมีนโยบายมุ่งแสวงหาความปรองดองกับฝ่ายรัสเซีย ขณะที่สหภาพยุโรป ซึ่งในตัวมันเองเวลานี้ก็เกิดความแตกแยกกันอยู่เรียบร้อยแล้ว อาจจะสูญเสียความสามารถของตนในการควบคุมอำนาจให้อยู่มือ

พวกเจ้าหน้าที่ในคณะบริหารทรัมป์ต่างตระหนักเป็นอย่างดีเกี่ยวกับพลวัตของสถานการณ์ทางการเมืองและทางทหารในยูเครนและยุโรป ความพยายามที่ได้รับการอุปถัมภ์จากสหรัฐฯและสหภาพยุโรป เพื่อมุ่งโค่นล้มรัฐบาลปูติน จวบจนถึงเวลานี้ได้รับการพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าประสบความล้มเหลวลงอย่างสมบูรณ์แบบ

อันที่จริงแล้ว มันเป็นความกล้าได้กล้าเสียที่ไม่ได้มีโอกาสประสบความสำเร็จมากมายอะไรอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรัสเซียได้ใช้องค์การดูแลความมั่นคงภายในของตนอย่าง เอฟเอสบี (FSB) ในการจัดการกับสิ่งที่เรียกกันว่า พวกองค์การอาสาสมัครภาคเอกชนที่กำลังดำเนินงานอยู่ภายในรัสเซีย ตลอดจนจัดการปิดตายองค์การจัดตั้งของ อเล็กเซ นาวัลนี (Alexei Navalny) อีกทั้งนำตัวเขามาขังคุก ซึ่งที่นั่นเขาได้เสียชีวิตลงภายใต้สภาพการณ์อันเป็นปริศนา

จากการที่แผนการความกล้าได้กล้าเสียในเรื่องยูเครนทั้งหมด กำลังอยู่ในภาวะสั่นคลอนโซซัดโซเซ เซเลนสกีจึงน่าที่จะใช้ความพยายามทุกๆ อย่างที่เขาสามารถกระทำได้เพื่อสกัดกั้นแผนการ 28 ข้อของสหรัฐฯ ในเรื่องนี้คณะบริหารทรัมป์จะมีการตอบโต้อย่างไร เป็นสิ่งที่จะต้องเฝ้าติดตามกันต่อไป

สตีเฟน ไบรเอน เป็นผู้สื่อข่าวอาวุโสของเอเชียไทมส์ และเป็นอดีตรองปลัดกระทรวงกลาโหมฝ่ายนโยบายของสหรัฐฯ ข้อเขียนชิ้นนี้ทีแรกสุดปรากฏอยู่บนจดหมายข่าว Weapons and Strategy ในแพลตฟอร์ม Substack ของเขา
กำลังโหลดความคิดเห็น