นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงการประชุมหารือกับภาคเอกชนไทยในเมียนมา ว่า เป็นการพูดคุยเพื่อมองสถานการณ์การเมืองและเศรษฐกิจในเมียนมา เนื่องจากที่ผ่านมาภาคเอกชนไทยในเมียนมาได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่มั่นคงในเมียนมา เพราะการค้าระหว่างไทยกับเมียนมามีมูลค่าสูงกว่า 2.5 แสนล้านบาท ซึ่ง 80% เป็นการค้าชายแดน และไทยลงทุนในเมียนมาเป็นอันดับสาม แต่สถานการณ์ความไม่มั่นคงในเมียนมายืดเยื้อมานานกว่า 5 ปี และยังเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวด้วย อีกทั้งรัฐบาลเมียนมายังมีการจำกัดอัตราแลกเปลี่ยนการโอนเงินไปยังต่างประเทศ การจำกัดการนำเข้าสินค้า ซึ่งเป็น สินค้าที่ภาคเอกชนไทยต้องใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตเพื่อส่งออกสินค้า จึงเกิดอุปสรรคทั้งสถานการณ์ภายในประเทศ และข้อจำกัดที่รัฐบาลเมียนมาจำเป็นต้องทำ
ส่วนการเลือกตั้งของเมียนมาที่กำลังจะมีขึ้น เราหวังว่าจะเป็นการเปิดโอกาสให้ฝ่ายต่างๆ ในเมียนมาได้มีส่วนร่วม หรือแม้แต่หลังการเลือกตั้งแล้วก็ควรดำเนินการเรื่องกระบวนการสันติภาพต่อไป เพื่อดึงกลุ่มต่างๆ เข้าสู่กระบวนการปรองดอง เพราะเราต้องการเห็นสันติภาพที่ยั่งยืนและเป็นประโยชน์กับประเทศไทย ทั้งเรื่องความมั่นคงและเศรษฐกิจ ซึ่งภาคเอกชนไทยเห็นว่า ถ้าเริ่มมีความสงบกลับมาหลังการเลือกตั้ง น่าจะเปิดช่องทางให้เอกชนไทยได้ขยายธุรกิจการค้าการลงทุนในเมียนมา โดยความต้องการในระยะสั้น ภาคเอกชนไทยต้องการให้รัฐบาลประสานขอให้รัฐบาลทหารเมียนมาผ่อนผันข้อจำกัดต่างๆ โดยการลงทุนของภาคเอกชนไทยถือเป็นการสร้างงาน และ ผลิตสินค้าส่งออกที่ เป็นการสร้างรายได้ให้กับรัฐบาลเมียนมาด้วย ส่วนมาตรการระยะยาวที่รัฐบาลไทยจะช่วยภาคเอกชนนั้น ต้องรอสถานการณ์การเมืองในเมียนมาประกอบด้วย


