นายอานนท์ นนทรีย์ อธิบดีกรมการข้าว ร่วมหารือกับสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย นำโดยนายเกรียงศักดิ์ ตาปนานนท์ ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์สมาคมฯ และ นายปราโมทย์ เจริญศิลป์ นายกสมาคมฯ รวมทั้งกรรมการสมาคมฯ จากจังหวัดนครสวรรค์ นครนายก พระนครศรีอยุธยา กำแพงเพชร และปทุมธานี รวมถึงนายสามารถ อัดทอง นายกสมาคมการค้าเมล็ดพันธุ์ข้าวไทย เพื่อหาแนวทางร่วมกันในการยกระดับการผลิตข้าวไทยให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคและตลาดส่งออก
สมาคมชาวนา เสนอว่า ไทยจำเป็นต้องมีพันธุ์ข้าวใหม่ที่ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิต โดยคุณลักษณะที่ต้องการคือ ผลผลิต 1,200–1,300 กิโลกรัมต่อไร่ ต้านทานโรคและแมลง ใช้ปุ๋ยน้อยแต่ตอบสนองต่อปุ๋ยได้ดี ให้จำนวนเมล็ดต่อรวงสูง และสามารถพัฒนา–รับรองพันธุ์ได้ภายใน 1–2 ปี เพื่อให้เกษตรกรเข้าถึงพันธุ์ใหม่อย่างรวดเร็ว
นายเกรียงศักดิ์ กล่าวว่า พันธุ์ข้าวไทยในปัจจุบันยังไม่สามารถตอบโจทย์ทั้งด้านผลผลิตและต้นทุนได้เพียงพอ จึงต้องการให้เกิดความร่วมมือแบบบูรณาการระหว่างรัฐ เอกชน นักวิชาการ และชาวนา เพื่อผลักดันงานวิจัยและปรับปรุงพันธุ์ให้เกิดผลจริงในพื้นที่
ด้านนายปราโมทย์ เจริญศิลป์ นายกสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย กล่าวว่า ปัญหาของชาวนาไม่ได้อยู่ที่พันธุ์เพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงต้นทุนที่สูงกว่าราคา โดยเฉพาะค่าปุ๋ยและค่ายาปราบศัตรูพืช ซึ่งเพิ่มภาระหนักขึ้นทุกปี ขณะที่ราคาข้าวเปลือกปัจจุบัน ตกลงมาเหลือเพียงกิโลกรัมละ 4–5 บาท หรือ 4,000–5,000 บาทต่อตัน แต่ต้นทุนผลิตอยู่ที่ 5,500–6,000 บาทต่อตัน ทำให้ชาวนาหลายรายเสี่ยงไม่มีรายได้เพียงพอชำระหนี้ในฤดูกาลนี้ จึงขอให้กระทรวงเกษตรฯ เร่งปรับปรุงพันธุ์ข้าวเพื่อเพิ่มผลผลิตต่อไร่ และให้กระทรวงพาณิชย์จัดมาตรการพยุงราคาข้าวควบคู่ไปด้วย
ที่ประชุมเห็นพ้องร่วมกันว่า ต้องจัดตั้ง "ทีมทำงานวิจัยร่วม" (Consortium) ประกอบด้วย นักวิชาการและนักวิจัยภาครัฐ ผู้เชี่ยวชาญและผู้ประกอบการภาคเอกชน สถาบันการศึกษา เครือข่ายเกษตรกรและผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์
ทั้งนี้ เพื่อพัฒนาพันธุ์ข้าวรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพสูง ทั้งด้านผลผลิต คุณภาพ และความต้องการตลาด โดยกรมการข้าวยืนยันว่า พร้อมผลักดันให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็วที่สุด


