นายไพฑูรย์ เก่งการช่าง รองเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) กล่าวถึงสถานการณ์น้ำในเขื่อนภูมิพลว่า มีการบริหารจัดการเป็นไปตามแผนอย่างมีประสิทธิภาพ และไม่มีความจำเป็นต้องเปิดอาคารระบายน้ำล้น (Spillway) ออกสู่ท้ายน้ำตามที่มีความเข้าใจคลาดเคลื่อนในสื่อสังคมออนไลน์
ปัจจุบันเขื่อนภูมิพล (ข้อมูลวันที่ 13 พ.ย. 68) มีปริมาณน้ำอยู่ที่ 13,406 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) คิดเป็น 99.59% ของความจุเก็บกัก ซึ่งเป็นปริมาณน้ำสูงสุดของปีนี้ โดยเมื่อวานนี้มีปริมาณน้ำไหลเข้าอ่างเก็บน้ำจำนวน 65 ล้าน ลบ.ม. และมีแผนการระบายออกอยู่ที่ 55 ล้าน ลบ.ม.ต่อวัน ซึ่งเป็นไปตามแผนของ สทนช., การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.), กรมชลประทาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมกันบริหารจัดการน้ำในเขื่อนภูมิพลอย่างใกล้ชิด หลังจากวันนี้ไปสถานการณ์น้ำของเขื่อนภูมิพลจะมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง
รองเลขาธิการ สทนช. กล่าวว่า เขื่อนภูมิพลได้มีการระบายน้ำล่วงหน้าไปแล้วกว่า 5,300 ล้าน ลบ.ม.นับตั้งแต่ 1 ม.ค.ที่ผ่านมา ทำให้มีพื้นที่ว่างรองรับน้ำได้อย่างเพียงพอ โดยไม่จำเป็นต้องใช้ช่องทางการระบายน้ำล้น ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความร่วมมือที่มีประสิทธิภาพของทุกหน่วยงานตามนโยบายของรัฐบาล
ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนมั่นใจว่า การบริหารจัดการน้ำดังกล่าวอยู่ในแผนและเป็นสถานการณ์ที่ควบคุมได้ โดยไม่มีความจำเป็นต้องเปิดอาคารระบายน้ำล้นเหมือนกับสถานการณ์ในอดีตเมื่อปี 2554 เนื่องจากปัจจุบันปริมาณน้ำไหลเข้าเขื่อนมีแนวโน้มลดลงอย่างชัดเจน เพื่อลดผลกระทบต่อพื้นที่ท้ายน้ำ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้บูรณาการกำหนดแผนการลดการปรับลดการระบายน้ำออกจากเขื่อนภูมิพล โดยจะทยอยลดลงจาก 55 ล้าน ลบ.ม.ต่อวัน ลงเหลือเพียง 30 ล้าน ลบ.ม.ต่อวัน ภายในวันที่ 22 พฤศจิกายนนี้
นอกจากนี้ การบูรณาการบริหารจัดการน้ำยังรวมถึงเขื่อนต่าง ๆ ในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาด้วย โดยมีการลดการระบายน้ำที่เขื่อนสิริกิติ์ และการบริหารจัดการน้ำในแม่น้ำน่านและแม่น้ำสะแกกรังควบคู่กันไป รวมทั้ง ในวันนี้ได้มีการลดการระบายน้ำของเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์เป็น 136 ลบ.ม.ต่อวินาที และเพิ่มการรับน้ำเข้าระบบชลประทานทั้งฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออก รวมกัน 10 ลบ.ม.ต่อวินาที เพื่อลดผลกระทบภาพรวมทั้งระบบ ซึ่งจะทำให้ระดับน้ำเหนือเขื่อนเจ้าพระยาไม่เพิ่มขึ้นและไม่จำเป็นต้องเพิ่มการระบายน้ำ
ปัจจุบันเขื่อนเจ้าพระยายังคงอัตราการระบายน้ำที่ 2,900 ลบ.ม.ต่อวินาที ซึ่งเป็นไปตามข้อสั่งการของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และนายภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ได้กำชับให้คงอัตราการระบายดังกล่าว เพื่อไม่ไปซ้ำเติมผลกระทบต่อพื้นที่ท้ายน้ำ


