ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวถึงสถานการณ์น้ำ ว่า จากการประชุมกับผู้อำนวยการชลประทานทุกจังหวัด และผู้อำนวยการสำนัก พบว่าภาพรวมสถานการณ์ตอนนี้ ปริมาณฝนในพื้นที่ภาคเหนือตอนบนและภาคอีสานลดลงแล้ว แต่ไปตกเพิ่มในพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งตนเพิ่งได้เดินทางไปและได้สั่งการให้พื้นที่ 6 จังหวัดภาคใต้ บริหารจัดการน้ำ ส่วนน้ำเหนือปริมาณน้ำในเขื่อนภูมิพลปริ่ม และได้มีการควบคุมให้อยู่ที่ 45-48 ล้านลูกบาศก์เมตร ปริมาณน้ำจากกิ่วลม ประมาณ 6 ล้านลูกบาศก์เมตร ดังนั้น 2 สาขาที่จะมาบรรจบที่หน้าเขื่อนเจ้าพระยา จะเป็นประมาณ 54 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน ดังนั้นหน้าเขื่อน ทั้งฝั่งตะวันออกและตะวันตกมีการระบายน้ำสู่ลำน้ำสาขา ยืนยันมีการสั่งการระบายทุกวัน โดยอัตราไหลอยู่ที่ประมาณ 2,900 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน โดยจะคงสภาพแบบนี้ไปประมาณ 1 สัปดาห์ และหลังจากเข้าสู่สัปดาห์ที่ 2 และ 3 ของเดือนธันวาคม จะเข้าสู่ภาวะใกล้ปกติ จะระบายน้ำ 1,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน ดังนั้นภายในต้นเดือนมกราคม 2569 จะเข้าสู่ภาวะปกติ คือระบาย 700 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน ซึ่งเป็นแผนที่วางไว้
ร.อ.ธรรมนัส กล่าวต่อว่า ส่วนประชาชนที่ได้รับผลกระทบ บริเวณหน้าเขื่อนเจ้าพระยา โดยเฉพาะจังหวัดพระนครศรีอยุธยา จะระบายน้ำออกลำน้ำสาขา เพื่อผลักลงอ่าวไทย ในช่วงที่น้ำทะเลไม่ได้หนุนสูง โดยตอนนี้ได้เตรียมเครื่องสูบน้ำ เครื่องดันน้ำเอาไว้แล้ว ดังนั้นหน้าเขื่อนเจ้าพระยาและท้ายเขื่อนจะมีการระบายตามระบบ ขณะที่จังหวัด นนทบุรี สมุทรปราการ กรุงเทพฯและ ปทุมธานี ยอมรับว่าอาจได้รับผลกระทบบ้าง แต่ไม่ร้ายแรง ไม่เท่ากับปี 2554 แน่นอน
เมื่อถามว่าหากมีพายุเข้ามาอีกจะทำอย่างไร ร.อ.ธรรมนัสกล่าวว่า มีการบริหารจัดการน้ำวางแผนมาตลอด เราเตรียมพร้อมมานานแล้วแต่มีความแปรปรวนของสภาพอากาศ ที่กรมอุตุนิยมวิทยาไม่สามารถพยากรณ์ได้อย่างแม่นยำ พอเกิดพายุกะทันหัน ซึ่งประเทศเพื่อนบ้านก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน ดังนั้นเราต้องมีการเตรียมความพร้อม ซึ่งหากไม่มีพายุเพิ่มเติมก็เป็นไปตามแผนที่ได้วางไว้
เมื่อถามว่าการระบายน้ำเพิ่มพื้นที่หน้าเขื่อนจะได้รับผลกระทบ ค่อนข้างเยอะจะต้องรออีกนานแค่ไหน ร.อ.ธรรมนัส ยอมรับว่าอยุธยา สิงห์บุรี อ่างทอง ได้รับผลกระทบ ทาง สทนช. จะหาทางแก้ไขแล้วเยียวยา และเชื่อว่าจากการที่ประชาชนต้องอยู่ในน้ำ 3-4 เดือน รัฐบาลต้องมีมาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติม


