วันนี้ (9 พ.ย.) ศูนย์ปฏิบัติการน้ำอัจฉริยะ (SWOC) กรมชลประทาน เปิดเผยว่า ฝนที่ตกหนักต่อเนื่องจากอิทธิพลของพายุ “คัลแมกี” ในพื้นที่ตอนบน ส่งผลให้ปริมาณน้ำในแม่น้ำสายหลักเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยที่สถานีวัดน้ำ P.17 แม่น้ำปิง มีปริมาณไหลผ่านในอัตรา 1,186 ลบ.ม./วินาที สถานีวัดน้ำ Y.64 แม่น้ำยม มีปริมาณไหลผ่านในอัตรา 496 ลบ.ม./วินาที และสถานีวัดน้ำ N.67 แม่น้ำน่าน มีปริมาณไหลผ่านในอัตรา 1,225 ลบ.ม./วินาที ก่อนที่จะไหลมารวมกันที่จังหวัดนครสวรรค์ ลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยา ทำให้ที่สถานี C.2 อ.เมือง จ.นครสวรรค์ มีปริมาณไหลผ่านในอัตรา 2,948 ลบ.ม./วินาที ในขณะที่สถานี Ct.25 แม่น้ำสะแกกรัง มีปริมาณไหลผ่านในอัตรา 249 ลบ.ม./วินาที ก่อนที่จะไหลไปสมทบกับแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณเหนือเขื่อนเจ้าพระยา จ.ชัยนาท ทำให้ระดับน้ำหน้าเขื่อนเจ้าพระยา ยกตัวสูงขึ้นในระดับ +17.71 ม.รทก. แนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
กรมชลประทาน ได้บริหารจัดการน้ำด้านเหนือเขื่อนเจ้าพระยา ด้วยการรับน้ำเข้าระบบชลประทานทั้งสองฝั่งเต็มศักยภาพของลำคลอง พร้อมจะทยอยปรับเพิ่มการระบายน้ำผ่านเขื่อนเจ้าพระยา ตั้งแต่เวลา 10.00น. ของวันนี้(9 พ.ย.68) จากอัตรา 2,750 ลบ.ม./วินาที เป็น 2,800 ลบ.ม./วินาที ภายในเวลา 15.00 น. และคงอัตราดังกล่าวต่อเนื่อง เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์น้ำเหนือและน้ำฝนที่ตกในพื้นที่
ทั้งนี้ จากการติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิดพบว่า ปริมาณน้ำทางตอนบนมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากยังอยู่ในช่วงของพายุคัลแมกี ตามการคาดการณ์ของกรมอุตุนิยมวิทยา จึงยังคงมีปริมาณน้ำเหนือไหลหลากลงสู่พื้นที่ตอนล่างอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับในช่วงวันที่ 6 - 12 พ.ย.68 เกิดสถานการณ์น้ำทะเลหนุน จึงทำให้การระบายน้ำเป็นไปอย่างจำกัดและต้องใช้เวลา ถึงอย่างไรก็ตาม กรมชลประทาน ได้เร่งระบายน้ำผ่านสถานีสูบน้ำตามแนวคลองชายทะเล ออกสู่อ่าวไทยอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยลดปริมาณน้ำให้เร็วที่สุด ตามข้อสั่งการของร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์


